10 เกร็ดเล็กๆที่น่าสนใจจากหนังชุด Fast&Furious
22 สิงหาคม 2562 14:36 น.
Share on FacebookTweet about this on TwitterShare on Google+

10-fact-about-fastfurious (1)

ต้องบอกว่าหนังชุด Fast&Furious จะมาไกลจนถึงวันนี้จากหนังฟอร์มเล็กที่พูดถึงแก็งค์ซิ่ง รถแข่งสุดเท่ สู่เรื่องราวการปล้นระดับมิชชั่นอิมพอสซิบ้า สุดระห่ำเกินคำบรรยาย ที่ได้รับความนิยมจนสร้างมาถึง 8 ภาค (ภาค9 กำลังถ่ายทำ) รวมถึงภาคแยกอย่าง Hobbs&Shaw วันนี้เลยขอรวบรวมเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจ ของหนังชุดนี้มาฝากกันเช่นเคย ไปดูกันว่า 10 เกร็ดเล็กๆที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

 

 

 

 

บทความ Racer X

10-fact-about-fastfurious (2)

ภาพประกอบ: Vibe

ถ้าลองตั้งข้อสังเกตว่าหนังชุดที่ประสบความสำเร็จ จะมีต้นทางมาจากหนังสือการ์ตูนหรือนวนิยายขายดี แต่สำหรับ The Fast นั้นแตกต่างออกไป เพราะหนังชุดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากบทความนิตยสาร Vibe เรื่อง Racer X เขียนโดย Kenneth Li  ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มแก็งค์ซิ่งในฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ ที่จะนักช่วงค่ำคืนปิดถนนซิ่ง รวมถึงวัฒนธรรมที่เปลี่ยนจากรถอเมริกันสู่รถญี่ปุ่นที่สามารถหาซื้อง่าย ปรับแต่งแล้วไปแข่งขัน โดยเรื่องราวของเขาได้คุยกับ Rafael Ezteves นักซิ่งขาประจำที่ให้สัมภาษณ์และพาผู้เขียนไปเห็นโลกความเร็วบนถนนหลวง

 

บทความชิ้นนี้ได้เข้าตาเสือปืนไวฮอลลีวู้ด หนึ่งในนั้นคือ Universal ที่ได้สิทธิ์ก่อนจะดัดแปลงจนเป็นเรื่องราวแก็งค์ซิ่งหัวโขมยที่พวกเราคุ้นเคยนั่นเอง 

 

 

 

 

ตัวเอกร่างแรกของ Fast&Furious

10-fact-about-fastfurious (3)

มีบันทึกเล่าว่า Rob Cohen ผู้กำกับภาคแรกหลังได้รับเลือกให้มากำกับหนังเรื่องนี้ พวกเขาวางแผนที่จะเลือกสองนักแสดงที่กำลังได้รับความนิยม จากซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง Save by The Bell  อย่าง MarioLopez และ Mark-Paul Gosselaar มารับบทเป็น ดอมินิค และ ไบรอัน แต่เมื่อตอนนำเสนอทางผู้บริหารเกรงว่าการที่สองคนมารับบทในหนังเรื่องนี้อาจสร้างความสับสนให้กับผู้ชม ก่อนที่หวยลงล็อคมายัง Vin Desel และ Paul Walker ได้บทนี้ไป

 

 

 

ที่มาของชื่อ Fast&Furious

10-fact-about-fastfurious (4)

ในบทร่างแรกของหนังชุดนี้ มีการคาดการณ์ถึงชื่อหนังทั้งชื่อ Red Line หรือ Racer X ก่อนที่จะจบลงที่ชื่อ Fast&Furious ซึ่งตามบันทึกเล่าว่าทางทีมงานได้ซื้อลิขสิทธิ์เพียงแค่ชื่อจากหนังเกรดบีในปี 1955 ของเจ้าพ่อหนังเกรดบีอย่าง โรเจอร์ คอร์แมน

 

 

 

 

สองบทของ 2Fast 2Furious

10-fact-about-fastfurious (5)

จากความสำเร็จในภาคแรกชนิดเกินคาดทางสตูดิโอก็รีบคว้าโอกาส สร้างภาคสองต่อทันที แต่ทว่าเกิดปัญหาสำคัญเมื่อผู้กำกับอย่าง Rob Cohen ตัดสินใจไม่กลับมากำกับภาคต่อ จนทำให้ John Singleton รับหน้าที่กำกับในภาคนี้ แล้วปัญหาต่อมาคือ เรื่องบทจากที่ผู้กำกับคนก่อนไม่ได้กับ ทำให้ทีมงานต้องเตรียมบทไว้สองชุด ชุดแรก คือบทที่มีทั้ง ดอมินิค และ ไบรอัน  และอีกบทมีเพียงไบรอันฉายเดี่ยว เพราะตอนนั้นมีข่าวของ Vin Desel  ที่อาจจะไม่กลับมารับบทเดิม ก่อนที่มูลนี้จะเป็นจริงเมื่อเขาตาม Rob Cohen ไปแสดงเรื่อง  xXx: พยัคฆ์ร้ายพันธุ์ดุ ประกอบกับช่วงนั้นเขาไม่เห็นอนาคตของหนังชุดนี้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน (สุดท้ายจึงได้กลับมาในภาค3)

 

แต่ยังไงก็ตาม 2Fast 2 Furious ก็ยังคงต้องลุยต่อพวกเขาจึงใช้บทที่สอง พร้อมกับใส่ตัวละครตัวใหม่ที่ชื่อ โรมัน เพียส นำแสดงโดย Tyrese Gibson 

 

 

 

 

 เหตุผลในการกลับมาของ Vin Desel

10-fact-about-fastfurious (6)

หลังจากทิ้งภาคสองไปแบบเสียดายเงิน จนกระทั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดที่ทีมงานหรือแฟนหนังต้องอึ้งหลังจากได้ชมภาคที่สามของหนังชุดนี้คือ Tokyo Drift เมื่อฉากท้ายๆเราได้เห็น ดอมินิค มาปรากฏจอในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่ง จัสติน ลิน ผู้กำกับภาคนี้ได้เผยว่า มาจากการฉายรอบแรกที่ย่ำแย่ ทางสตูดิโอจึงตัดสินใจที่จะตื้อพี่วินอีกรอบ ที่คราวนี้มีข้อเสนอแทนคำสัญญานั่นคือ ถ้าเขากลับมา นอกจากจะมีส่วนช่วยหนังเรื่องนี้แล้ว เขาจะได้สิทธิ์ตัวละคร ริดดิค จากหนังเรื่อง Riddick และมีส่วนทำให้ภาค 3 ประสบความสำเร็จ

การแลกข้อเสนอครั้งนี้นอกจากจะได้คนสำคัญกลับมาแล้ว พวกเขาไม่คิดว่าจากนี้ หนังจะไปได้ไกลมากขึ้นจากฝีมือของ จัสติน ลิน นั่นเอง

 

 

 

ไทม์ไลน์เส้นเรื่องของหนัง Fast & Furious

10-fact-about-fastfurious (7)

การลำดับไทม์ไลน์ของหนังชุดนี้ จะเริ่มจากภาคแรก, ภาคสอง ส่วนภาค Tokyo Drift เป็นเส้นขนาน เพราะ ภาค 4-5 คือเหตุการณ์ก่อนภาคนี้ นั่นเพราะ ความดังของตัวละคร ฮาน รับบทโดย ซุง กัง ทำให้ ตั้งแต่ภาค 4 จึงเป็นเรื่องราวย้อนที่มา และบรรจบภาค Tokyo Drift ที่ ฮาน เสียชีวิต ส่วนภาค 7 และ ภาค 8 คือเหตุการณ์ปัจจุบัน

ส่วน Hobbs&Shaw เป็นเหตุการณ์แยกครับผม

 

 

 

 

 

 การมาของราชาหนังสยองขวัญที่ชื่อ James Wan

10-fact-about-fastfurious (8)

หลังจากที่ Justin Lin รับหน้าที่กำกับตั้งแต่ภาค 3– 6 ก่อนจะถอนตัวทำให้ภาค 7 ทางสตูดิโอต้องการรสชาติที่แปลกใหม่ ทำให้หวยมาลงล็อคที่ James Wan เจ้าพ่อหนังสยองขวัญยุคนี้ที่การันตีด้วยผลงานทั้ง Saws, The Counjouring มากุมบังเหียนหนังรถซิ่ง ซึ่งเขานำความระทึกขวัญมาผสมกับความแอ็คชั่นได้อย่างลงตัว

 

 

 

 

ว่าด้วยเรื่องฉาก For Paul

10-fact-about-fastfurious (9)

หนึ่งในฉากตำนานของหนังชุดนี้มาจากภาคที่ 7 เมื่อ ไบรอัน ตัดสินใจวางมือแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ก่อนที่รถสองคันจะวิ่งตีคู่ ก่อนจะแยกย้ายตามเส้นทางของตัวเอง ซึ่งฉากนี้ที่มีมนต์ขลัง เพราะ Paul Walker ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุก่อนที่หนังจะถ่ายต่อ แต่ถึงกระนั้นเพื่อปิดตัวละครนี้อย่างสมบรูณ์ จึงมีการเซ็ตฉากนี้ โดยยึดประเพณี Missing man Formation ซึ่งเป็นการให้เกียรติผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นประเพณีของการบิน ก่อนจะถูกปรับใช้ในวงการรถแข่งเพื่อเป็นการรำลึกและให้เกียรติผู้เสียชีวิต ส่วนฉากสุดท้ายของไบรอัน ได้น้องชายสองคนของ พอลมาช่วยแสดงก่อนจะใช้ซีจีตัดต่อ

 

วันไหนที่ฟังเพลง See You Again พร้อมฉากนี้ ยังคงเป็นฉากที่ตรึงตราแฟนๆจนถึงทุกวันนี้

 

 

 

 

 

ว่าด้วเรื่องของ ฮาน  

10-fact-about-fastfurious (10)

ตัวละครเอเชียจอมสุขุม และเก่งการดริฟท์เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งตัวละครตัวนี้ปรากฏตัวในภาค Tokyo Drift ผลงานกำกับของ Justin Lin ซึ่งอันที่จริง ตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่มาจากงานของลินเรื่อง Better Luck Tomorrow ซึ่งมีข้อสังเกตและเชื่อมโยงผ่านฮานสองเรื่องราวคือ

 

นิสัยของเขาที่ชอบกินของขบเคี้ยวติดมือประจำ ซึ่งในภาค 5 จีเซล สังเกตได้ชัดเพราะว่าคงไม่อยากให้มือว่าง และเดาว่าเมื่อก่อนชอบสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่บังเอิญมากๆ

ส่วนชื่อเต็มของเขาคือ ฮาน โซ โอ ซึ่งเพี้ยนมาจาก ฮาน โซ โล ตัวละครจากเรื่อง Star war นั่นเอง

 

 

 

 

ไบรอันเคยขับรถยุโรป

10-fact-about-fastfurious (11)

อย่างที่ทราบกันว่า ไบรอันตัวเอกของเราจะนิยมชมชอบรถสปรอ์ตญี่ปุ่นเป็นพิเศษ  อาทิ Nissan Skyline, Toyota Supra และ Mitsubishi Lancer Evolution แต่ในภาคที่ 6 เขาเปลี่ยนแนวมาขับรถสัญชาติยุโรปอย่าง Ford Escort MK ซึ่งเป็นรถที่ผลิตและจำหน่ายในยุโรป งานนี้ไบรอันเลยได้บู๊กับรถคันนี้ในที่สุด

 

 

@P.PETTY

 

ข้อมูลประกอบ

-          Starpics Special: Road To Fast&Furious