Digimon Story: Time Stranger
ประเภท : Rpg / Turnbase
เครื่อง : PlayStation 5, Xbox Series X และ PC ผ่าน Steam
พัฒนาโดย : BandaiNamco
หากใครที่เคยเปิดทีวีช่อง9ดูการ์ตูนในสมัยก่อน ก็น่าจะคุ้นเคยกับ “ดิจิม่อน” ที่มีเพลงประกอบสนุกๆ ที่ร้อง “ออกอาวุธ ที่พัฒนามาเป็นชุด” ตามๆกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง มีหนังโรง มีภาคใหม่ต่อยอดจากจุดนั้นมาไม่น้อย และเรื่องราวของดิจิมอนยังคงได้รับการขยายความให้หนักหน่วง เข้มข้นขึ้น ในโลกของเกม นี่คือภาคใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว กับ “Digimon Story: Time Stranger”
เกมนี้คือ!?
“Digimon Story: Time Stranger” เป็นเกม RPG ใหม่ล่าสุดในซีรีส์ Digimon Story ที่จะมาพร้อมกับประสบการณ์การเล่นที่ทันสมัยและเนื้อเรื่องที่เข้มข้น โดยเกมนี้จะวางจำหน่ายในปี 2025 บนแพลตฟอร์ม PlayStation 5, Xbox Series X และ PC ผ่าน Steam

ตัวเอกของเรื่องเป็นสมาชิกขององค์กรลับ ADAMAS ซึ่งเชี่ยวชาญในการสืบสวนและแก้ไขปรากฏการณ์ผิดปกติ ในระหว่างการสืบสวน พวกเขาพบกับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่เรียกว่า ‘ดิจิมอน’ ในเขตชินจูกุ ซึ่งถูกปิดกั้นโดยรัฐบาล การระเบิดลึกลับที่ทำให้พวกเขาตื่นขึ้นมาในอดีต 8 ปีก่อน โดยตัวเอกจะต้องตามหาความลับของการล่มสลายของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมกับค้นหาวิธีหยุดยั้ง
“โลกในเกมนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ โลกมนุษย์ และ โลกดิจิทัล: Iliad”
โลกมนุษย์: เรื่องราวส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในชินจูกุและอากิฮาบาระ โดยทีมพัฒนาได้เน้นการสร้างเมืองให้มีรายละเอียดและขนาดที่สมจริงมากขึ้น เพื่อเพิ่มความรู้สึกร่วมในเกม โดยเฉพาะในชินจูกุ ที่มีการสร้างส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าใต้ดินขึ้นมาใหม่

โลกดิจิทัล: Iliad: นี่คือ Central Town ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางของการผจญภัยในเกม เมืองนี้เต็มไปด้วยดิจิมอนนานาชนิด และยังมีร้านค้าต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เล่น ทุกมุมเมืองจะพบเห็นดิจิมอน รวมถึงบาร์และสถานที่ทันสมัยต่างๆ ซึ่งสร้างความรู้สึกว่าเมืองนี้เป็นสถานที่ที่ดิจิมอนใช้ชีวิต
“ในเกม Cyber Sleuth ผู้เล่นจะเดินทางกลับไปมาระหว่างโลกมนุษย์และไซเบอร์สเปซ แต่มีโอกาสน้อยมากที่จะได้เข้าไปในโลกดิจิทัลจริงๆ ในเกมใหม่นี้ ผู้เล่นจะได้เข้าไปในโลกดิจิทัลบ่อยครั้ง และจะใช้ระบบการต่อสู้โดยตรงกับดิจิมอนศัตรู ซึ่งจะให้ความรู้สึกตื่นเต้น และแตกต่างจากเดิม”
Olympos XII
“ในเกมนี้ Olympos XII ซึ่งเป็นดิจิมอน 12 ตัวที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกดิจิทัล: Iliad จะมีบทบาทสำคัญในเนื้อเรื่อง พวกเขามีพลังที่เทียบเท่ากับ Royal Knights และการปรากฏตัวของพวกเขาในเกมนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันในสเกลขนาดใหญ่”
มีดิจิมอนกว่า 450 ตัว!!
ในเกม Digimon Story: Time Stranger ผู้เล่นจะได้พบกับดิจิมอนมากกว่า 450 ตัว ซึ่งนับเป็นจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของซีรีส์ Digimon Story เปรียบเทียบกับเกมก่อนหน้านี้ เช่น Digimon Story: Cyber Sleuth ที่มีดิจิมอนประมาณ 250 ตัว และรวมกับภาคเสริม Hacker’s Memory ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นประมาณ 330 ตัว แต่ในเกมใหม่นี้ จำนวนดิจิมอนได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจนเกินกว่า 450 ตัว! การที่มีดิจิมอนจำนวนมากเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความหลากหลายให้กับเกม แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์การฝึกฝนและพัฒนาดิจิมอนในรูปแบบที่กว้างขึ้น โดยผู้เล่นจะได้สนุกกับการ digivolve (การวิวัฒนาการของดิจิมอน) และ de-digivolve (การถอยกลับสู่รูปแบบก่อนหน้า) ซึ่งเป็นระบบหลักของซีรีส์ Digimon ที่ให้ผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาดิจิมอนของพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตามสไตล์การเล่นของแต่ละคน
REVIEW 8/10
-เกมเพลย์ 3 /3
-งานภาพ 2/3
-ความชอบ 1 /1
**รีวิวนี้เขียนจากการเล่นในระบบ PS5
34ชั่วโมง รอบแรก เน้นเนื้อเรื่อง Side Quest ข้ามไปหลายตัว (แต่จบเควสท์โคลอสเซียม เป็นแชมป์ หาตังค์วนไป)
แต่ละด้านจะมีคะแนนเต็ม 3
1=ไม่ไหว / 2= พอได้ / 3=เยี่ยม
“แก่นแท้ JPRG” ที่สนุก แม้ “เปลือกนอก” จะมีรอยร้าวนิดหน่อย

การรอคอยที่ยาวนานหลายปีของแฟนๆดิจิมอน ก็ได้สิ้นสุดลงกับการมาของ Digimon Story: Time Stranger เป็นเกมที่หลายคนคาดหวังที่จะได้เห็นการยกระดับครั้งสำคัญของซีรีส์เกม Digimon ที่เคยสร้างมาตรฐานใหม่ไว้กับภาค Cyber Sleuth .ในแง่เกมเพลย์ คือทีมงานทำสำเร็จแล้ว…แต่เนื้อเรื่องหลักที่ยืดยาว + เอนจิ้นที่ทำงานภาพนี่ก็จัดว่าเก่าไปหน่อย เลยมีข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆของเกมนี้อยู่ครับ
Time Stranger เปิดฉากด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเล่นกับ “เวลา” , “ปริศนาตัวละครเอก” และ “การแก้ไขข้อผิดพลาด”
โลกในอนาคตกำลังล่มสลายจากภัยพิบัติที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้เล่นในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กร ADAMAS คือความหวังสุดท้ายที่ถูกส่งย้อนเวลากลับไปในอดีต 8 ปีก่อนหน้า เพื่อสืบหาและหยุดยั้งต้นตอของหายนะทั้งหมด โดยมี “โอเปอเรเตอร์” (ซึ่งเป็นตัวละครเอกอีกเพศที่เราไม่ได้เลือก) คอยให้การสนับสนุนและสื่อสารจากโลกอนาคต แนวคิดนี้สร้างไดนามิกที่น่าสนใจ เนื่องจากตัวเอกของผู้เล่นเป็นตัวละครเงียบ (Silent Protagonist) ตามขนบ JRPG ดั้งเดิม ทำให้บุคลิกภาพ, อารมณ์ขัน และความเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครโอเปอเรเตอร์แทน จุดนี้เอาจริงๆน่าหงุดหงิดมาก เพราะไอเดียนี้ ทั้งล้าสมัย และรู้สึกว่าไม่ได้ทำให้อินไปกับเนื้อเรื่องเลย แถมยังดูไม่ส่งอารมณ์ร่วมเท่าที่ควร
การเดินทางครั้งนี้นำพาผู้เล่นไปสู่ “Illiad” (อิลเลียด) ซึ่งเป็นดิจิทัลเวิลด์แห่งที่สองที่ซีรีส์ไม่ค่อยได้สำรวจนัก และทำให้เราได้พบกับกลุ่มเทพเจ้า Olympos XII และดิจิมอนตัวละครสำคัญอย่าง Aegiomon ซึ่งความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับเด็กสาวนามว่า Inori ถูกวางให้เป็น “แก่นกลางทางอารมณ์” ของเกม
เรื่องราวจะโฟกัสไปที่การเดินทางข้ามเวลา ข้ามโลก คลี่คลายสถานการณ์ที่เลวร้าย ของทั้งโลกดิจิตอล และโลกมนุษย์ที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายจากข้อพิพาทของเหล่ามนุษย์ และดิจิมอน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโครงสร้างที่แข็งแรง แต่จังหวะการเล่าเรื่องกลับเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะตัวเกมจะเล่าเรื่องค่อนข้างช้าและขาดความเร่งด่วน แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะรู้สึกถึงความเป็นความตายของโลก ก็กลับถูกนำเสนออย่างเรียบเฉย บทสนทนาส่วนใหญ่ขาดน้ำหนัก (ส่วนหนึ่งมาจากตัวเอกเป็นใบ้นั่นละครับ)
แต่จุดนี้เมื่อเล่นไปได้จนจบเกม ก็พบว่า ความเชื่องช้าในการเล่าเรื่อง มันทำให้เรารู้สึกผูกพันกับการเดินทางของตัวละครมากๆ เราได้เห็นมุมของตัวละครในหลายๆแบบ และเรื่องราวในโลกดิจิตอลที่มีเรื่องของความอบอุ่นของเพื่อนฝูง , พี่น้อง , ความอ่อนไหว , อ่อนแอ , ภาระที่แบกรับ , ความเข้มแข็ง และ มิตรภาพของเหล่าดิจิมอนในดิจิทัลเวิลด์ตลอดการเดินทาง เป็นเชิงลึกที่เล่นกับอารมณ์คนเล่นในหลายๆอีเว้นท์
และมีการ Recap เนื้อเรื่องหลักทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ผ่าน “โรงละครแห่งกาลเวลา” Hub กลางที่ผู้เล่นจะได้ซื้อของ อัพเลเวลดิจิมอนด้วยการฝึก การสร้างบ้านต่างๆ…และด้วยความที่เป็นภาพเป็นโรงละคร จึงมีการฉายภาพเรื่องราวของทั้งสองโลก จากอีกมิติหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นฮับที่เข้าถึงง่ายและมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมากในช่วงท้ายเกม
จะว่าไปแล้ว นี่ก็อาจจะเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการเล่าเรื่องยาวๆ ยืดๆ ให้เราอยู่กับกลุ่มตัวเอกยาวๆ ก่อนจะมีจุดหักเห เปลี่ยนทิศทางเรื่อง และไปสู่ฉากจบ บทสรุปเรื่องราวที่บีบคั้นหัวใจมากๆนั่นเองครับ
หากเนื้อเรื่องคือจุดที่น่าเสียดายเล็กๆในแง่ของความยืดยาว… “ระบบเกมเพลย์” คือแสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุดของ Time Stranger
ทีมพัฒนาเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงระดับ “ปฏิวัติแฟรนไชส์” แต่ใช้วิธี “ต่อยอดและขัดเกลา” จากรากฐานที่ยอดเยี่ยมของภาค Cyber Sleuth
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์การเล่นที่ลื่นไหล, สะดวกสบาย และสนุกจนวางไม่ลง
แอดมิน กดรวดเดียวจากการได้เกมมาคือ 18 ชั่วโมงไม่พัก จนเริ่มไม่ไหว ต้องนอนก่อน
แล้วมาต่อจนจบเกมรอบแรก ใช้เวลาทั้งหมด 34 ชั่วโมง ในระดับความยาก Normal
ระบบการต่อสู้หลักๆ ยังคงเป็น Turn-based JRPG ที่คุ้นเคย แต่เต็มไปด้วยความลึกเชิงกลยุทธ์ “การสลับดิจิมอนเข้า-ออกจากการต่อสู้โดยไม่เสียเทิร์น” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา
และยังมีระบบใหม่ๆ อย่าง Cross Arts ที่เป็นการโจมตีประสานกันระหว่างดิจิมอนในทีมช่วยเพิ่มความหลากหลายและความรุนแรงในการต่อสู้ หรือจะเป็นบัฟเสริมพลัง ฮีลหมู่ หรือเร่งรอบโจมตีก็สามารถทำได้ แต่คุณต้องมี Agent Rank ที่สูงมาพอที่จะปลดล๊อกผังสกิลที่มีมหาศาล โดยแบ่งตามสายของดิจิมอนแยกย่อยออกมาอีก
ขณะเดียวกัน เกมก็อำนวยความสะดวกให้กับการฟาร์มอย่างเต็มที่ด้วยระบบเร่งความเร็วการต่อสู้ (สูงสุดคือข้ามอนิเมชันทั้งหมดที่ระดับ x5) และการกดปุ่มเดียวเพื่อกำจัดศัตรูที่เลเวลต่ำกว่าบนแผนที่ได้ทันที
จุดนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่คอเกม JRPG เคยเล่น เพราะเกมอื่นก็มี แต่เกมนี้ ก็เอาข้อดีของเกมอื่นๆมาปรับใช้ในผลงาน ก็ทำให้การเล่นลื่นไหล สนุกได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีครับ
การพัฒนาและปรับแต่งคือหัวใจที่แท้จริงของซีรีส์ Digimon Story และภาคนี้ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
อิสระในการพัฒนาร่าง (Digivolve) ดิจิมอนไปตามสายต่างๆ ที่แตกแขนงนับร้อย , การย้อนกลับการพัฒนา (De-digivolve) เพื่อกลับไปเรียนรู้สกิลจากสายอื่น
หรือเพื่อเพิ่มค่าสถานะสูงสุด ผ่านการฝึกกับเครื่องเล่น พร๊อพต่างๆใน Digifarm ยังคงเป็นลูปการเล่นที่สนุกเช่นเคย คือสามารถใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงไปกับการตัวดิจิมอนที่ชอบยังได้ครับ

แน่นอนว่า ดิจิมอนแต่ละตัวก็จะมี คุณลักษณะ , ธาตุ ที่แพ้ทางกันแบบเกมเป้ายิ้งฉุบ ทำให้ผู้เล่นจะต้องปั้นดิจิมอนตัวเก่งให้ครบทุกสายการเล่น รวมไปถึงท่าโจมตี ที่แม้จะธาตุเดียวกัน แต่ก็แบ่งอีกว่า เป็นสายเวทย์ หรือ กายภาพ อันนี้ก็ต้องเช็ก และติดตั้งสกิลให้ดีๆ เพราะบอสบางตัว ไม่รับดาเมจเวทย์ บางตัวสะท้อนกลับกายภาพ หรือบางตัว เลวร้ายถึงขั้นห้ามใช้ไอเทมใดๆ หรือติดคำสาป HP สูงสุดลดลงครึ่งหนึ่ง เป็นต้น…ทำให้การต่อสู้ในแต่ละไฟท์มีความต่างกัน และด้วยข้อดีของการสลับตัวเล่นแบบไม่เสียเทิร์น ทำให้ผู้เล่นได้ลองผิดถูกกับการต่อสู้ได้มากขึ้นด้วย
คุณภาพชีวิต (Quality of Life) ของเกมนี้ คือการยกระดับที่ชัดเจนที่สุดจากภาคก่อน ๆ ปัญหาที่น่ารำคาญใจอย่างการต้องวิ่งกลับไปที่ DigiLab ทุกครั้งเพื่อจะพัฒนาร่างหรือจัดการทีมได้ถูกขจัดทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ใน Time Stranger ผู้เล่นสามารถเข้าถึงเมนูการจัดการทีม, พัฒนาร่าง, เปลี่ยนสกิล และอื่นๆ ได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านเมนูหลักในโทรศัพท์มือถือของตัวละครทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งสะดวกมากๆ

ส่วน DigiLab ถูกแทนที่ด้วย “โรงละครแห่งกาลเวลา” (In-Between Theater) อย่างที่กล่าวไปแล้วนั่นเอง
นอกจากเควสท์เนื้อเรื่องที่แม้จะเล่าช้าๆ เนิบนาบ แต่ SAide Quest กลับล่อตาล่อใจมากๆ ทั้งเควสท์จาก NPC หรือแม้แต่ ดันเจี้ยนลับดิจิไวซ์ที่ซ่อนตามฉาก
ซึ่งอย่างหลังจะมีความท้าทายสูงผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ก่ารบุกไปตีบอสแบบจำกัดเวลา การเล่นเกมสไตล์ Town Defense , เกมวิ่งไล่จับในสไตล์แข่งรถ และอื่นๆ
ทั้งหมดที่ว่ามาจะทำให้คุณเข้าถึงดิจิมอนตัวโหดๆ เก่งๆ หรือมีค่า Stats สูงได้เมื่อจบเควสท์ ทำให้การโฟกัสที่เนื้อเรื่องหลัก อาจจะมีออกนอกเส้นทางแน่ๆ แม้ว่าเกมจะไม่ใช่ Open World แถมมีแผนที่ หมุดปักเควสท์ที่แน่นอนก็ตาม…
กราฟิกและอาร์ตสไตล์ของ Time Stranger มีการอัปเกรดโมเดลดิจิมอนทั้ง 450 ตัวในเกมให้มีความละเอียดสูงและสวยงามน่าชื่นชม ฉากคัตซีนมีการกำกับที่ดีและน่าประทับใจ (ส่วนหนึ่งคือบทดีมากๆ เพียวแต่วิธีการเล่ามันยืดจริงๆ อันนี้เน้นย้ำ)
แต่ในภาพรวมแล้ว กราฟิกของเกมให้ความรู้สึกเหมือนเกมที่ควรจะออกตั้งแต่ยุคปลายของเครื่อง PlayStation 4 มากกว่าจะเป็นเกมสำหรับเครื่องยุคปัจจุบัน การออกแบบฉากในโลกจริงและดิจิทัลเวิลด์ส่วนใหญ่มักจะซ้ำซากและขาดซึ่งเอกลักษณ์ และความน่าสำรวจ การแสดงผลทางเทคนิคก็มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งการเรนเดอร์วัตถุในระยะไกล, วัตถุที่ปรากฏขึ้นมากะทันหัน และแสงเงาที่ดูกระดำกระด่างเหมือนการทำ Cel-shaded ที่ยังไม่สมบูรณ์
ส่วนเพลงประกอบของภาคนี้ อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ครับ สามารถสร้างบรรยากาศได้เหมาะสม แต่ไม่ใช่เพลงที่น่าจดจำนัก แน่นอนว่า เขาต้องการให้เราไปซื้อ DLC แพ็กเพลงเสริมนั่นละครับ 555

ทว่าสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรงคือ ในด้านประสิทธิภาพ ตัวเกม “ล็อกเฟรมเรตไว้ที่ 30 FPS ในคอนโซล” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมากสำหรับฮาร์ดแวร์ระดับนี้ และยังมีรายงานเรื่องเฟรมเรตที่ไม่เสถียรอีกด้วย ในทางกลับกัน เวอร์ชั่น PC กลับปรับแต่งได้หลากหลายและทำเฟรมเรตได้สูง แต่ก็ยังคงประสบปัญหาการกระตุกเป็นระยะๆ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาการปรับแต่ง (Optimization) ที่ไม่ดีพอของเอนจิ้นเกมที่อาจจะเก่าเกินไปแล้ว ใช่ครับ งานภาพไม่หนีจากภาคก่อนๆเท่าไหร่เลย เอาจริงๆ…
สองประเด็นสุดท้ายนี้อาจเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดสำหรับแฟนพันธุ์แท้ ประเด็นแรกคือ “รายชื่อดิจิมอน” ที่รู้สึกตกยุคอย่างรุนแรง แม้จะมีถึง 450 ตัว แต่กลับแทบไม่มีดิจิมอนจากยุคใหม่ๆ อย่างซีรีส์ Ghost Game หรือ Pendulum Z เลยแม้แต่น้อย ดิจิมอนที่ใหม่ที่สุดมาจากภาพยนตร์ Last Evolution Kizuna ซึ่งออกมาหลายปีแล้ว การไม่มีตัวละครเรือธงยุคใหม่อย่าง Gammamon หรือ Pulsemon ทำให้เกมรู้สึกเหมือนถูกพัฒนาค้างไว้ตั้งแต่ 5 ปีก่อน แล้วมาเข็นออกให้เสร็จไป แต่ทั้งนี้ ตัวเกมยังมีช่องทาง DLC ออกตามมาในแผนแน่นอน…
ซึ่งจุดนี้ก็อยากจะบ่นเหมือนกันว่า เกมแพงมาก แต่กลับมีคอนเทนต์จำนวนมากถูกหั่นไปขายแยกใน DLC ไม่ว่าจะเป็นดิจิมอนบางตัว (Agumon Black/Gabumon Black ที่หาจากในเกมไม่ได้หากไม่สั่งจอง), ภารกิจเสริม, ชุดคอสตูม ไปจนถึงเพลงประกอบจากอนิเมะ ด้วยราคา Deluxe Edition และ Ultimate Edition ที่ถีบตัวสูงขึ้นไปสามพันกว่าบาท “แต่ก็ยังไม่รวม DLC ทั้งหมด” ซะงั้น
จุดนี้ ส่วนตัวมองว่า ทีมพัฒนาและผู้จัดจำหน่ายกำลังเอาพลังแฟนบอยมาเป็นตัวประกันหรือเปล่านะ!?
โดยสรุปแล้ว Digimon Story: Time Stranger คือเกมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง
มีระบบเกมเพลย์หลักที่ถูกขัดเกลามาอย่างดีเยี่ยมจนเป็นหนึ่งในประสบการณ์การเล่นเกม RPG เลี้ยงมอนสเตอร์ที่ดีที่สุดอีกเกม
แต่ความยอดเยี่ยมนั้นก็มีข้อตำหนิเล็กๆน้อยๆ ทั้งปัญหาทางเทคนิคที่น่าหงุดหงิด อย่าง 30fps ที่ไม่ควรมีในระบบ PS5 แล้วแถมไม่ได้รัน 4k ด้วย
หรือจากเนื้อเรื่องที่พล๊อตดูจะเป็นอนิเมะเส้นตรงจ๋าๆ นำเสนอจืดๆในช่วงแรกๆ
ซึ่งเมื่อเล่นไปซักพักจะรู้เลยว่า บางจุดเล่าสนุกมากๆ มีจุดที่โคตรดิ่งจิตใจ ถือเป็นอีกภาคที่ทำเอาเสียน้ำตาได้จริงๆ
แต่ด้วยความยาว และภารกิจที่บางอย่างก็จัดว่าไร้สาระ “ทำไปทำไม” ก็ทำให้เหนื่อยใจที่จะอ่านเนื้อเรื่องอยู่ไม่น้อย
แต่เพราะเราโตมากับดิจิมอน เราเข้าใจแนวทางการเล่า ที่เล่นเรื่องมิตรภาพ ความสามัคคี และการลาจากเพื่อเติบโต อันเป็นแก่นแท้ของซีรีส์
ก็จำเป็นต้องสร้างอีเว้นท์ยาวๆให้คนผูกพันกับตัวละคร เหมือนดู ช่อง 9 การ์ตูนทุกเช้าเสาร์อาทิตย์ และเกมนี้ เอามาขยี้ให้ชัดขึ้น ตามชื่อภาคเลยครับ
“เวลา” ทำให้เราพบกัน…
และต้องจำใจเป็น “คนแปลกหน้า”
ในยามลาจาก …
แอดมิน AK47
#DigimonStoryTimeStranger #ดิจิมอนสตอรี่ไทม์สเตรนเจอร์
#BandaiNamco #RPG #เกมใหม่2025 #ดิจิมอน
#PlayStation5 #XboxSeriesX #Steam #PC
#TurnBasedRPG #DigimonAdventure
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]

























































