รำลึก 10 ผลงานที่น่าจดจำของตำนานสายลับ Sean Connery
02 พฤศจิกายน 2563 16:04 น.
Share on FacebookTweet about this on TwitterShare on Google+

best-10-movie-sean-connery (1)

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมาวงการบันเทิงและแฟนๆภาพยนตร์ได้ทราบข่าวการจากไปของ ฌอน คอนเนอรี นักแสดงมากฝีมือผู้โด่งดังจากบทสายลับ 007 คนแรกแห่งโลกภาพยนตร์ในวัยเพียง 90ปี นับเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญของวงการบันเทิงครั้งใหญ่ในช่วงปลายปีนี้ก็ว่าได้ วันนี้เราจะรำลึกผ่าน10อันดับผลงานอันน่าจดจำของเขากัน ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนอยู่ในความทรงจำของผู้ชมอย่างแน่นอน ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

 

 

 

10.) Never Say Never Again (1983)

เริ่มจากผลงานการกลับมารับบทบอนด์ครั้งที่ 7 อันเป็นการรับบทครั้งสุดท้ายหลังจากประกาศเลิกไปอีกครั้งหลังจบภาค Diamonds Are Forever ของ Eon Productions ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์หนังชุด 007 ซึ่งเรื่องราวคือการรีเมคภาค Thunder ball เมื่อสายลับเจ้าเสน่ห์ (วัยเก๋า) ต้องหาทางหยุดแผนชั่วขององค์กร Spectre ที่วางแผนขโมยหัวรบนิวเคลียร์สองลูกและเรียกค่าไถ่จากชาติมหาอำนาจ เพื่อก้าวสู่แผนครองโลกต่อไป
หนังเรื่อง Never Say Never Again เป็นหนังบอนด์ที่ไม่ได้อยู่ในจักรวาลของ MGM ซึ่งสาเหตุมาจากที่ เอียน เฟลมมิ่ง ผู้เขียนนิยายสายลับเจ้าเสน่ห์ดันไปเอาโครงเรื่องของ เควิน แม็คลอร์รี่ ตอนร่างบทในชื่อ Longitude 78 West มาดัดแปลงเป็นนิยายชื่อ Thunderball โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องจนต้องไปตัดสินในชั้นศาล ท้ายสุด แม็คลอร์รี่ ชนะคดีความจนได้ร่วมงานในหนัง และเขาจะได้สิทธิ์รีเมคหนังอีกด้วย ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้เวลาก็ล่วงเลยหลายปี จนกระทั่งในปี1983 แม็คลอร์รี่ จึงนำงานตัวเองกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งโดยที่มาของชื่อหนังเรื่อง Never Say Never Again เสมือนเป็นการล้อนเลียนวลีของ ฌอน ที่เคยประกาศไปสองครั้งว่าจะไม่หวนกลับบมารับบทบอนด์ แต่ก็กลับมาครั้งนี้อีกครั้งนั่นเอง (ครั้งสุดท้ายจริงๆ)

 

 

 


9.) THE LEAGUE OF EXTRAORDINARY GENTLEMEN (2003)

อาจเรียกได้ว่าเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของเขาก็ว่าได้หลังจากวนเวียนในโลกบันเทิงมาอย่างยาวนานโดยหนังเรื่องนี้เขารับบทเป็น Allan Quatermain นักผจญภัยระดำตำนานที่รวมทีมกับเหล่ากลุ่มผู้มีพลังวิเศษเพื่อปกป้องโลกใบนี้จากแผนการชั่วร้ายของ Phantom ชายสวมหน้ากากผู้บ้าคลั่งที่มีแผนจะก่อวินาศกรรมในงานประชุมผู้นำระดับโลกแล้วใช้ระเบิดโดมิโนถล่มเมืองจนจมลงใต้น้ำให้จงได้

 

 

 

 

8.) Entrapment (1999)

ฌอน กลับมารับบทอันคุ้นเคยอีกครั้งที่คราวนี้ประกบกับนักแสดงสาวเจ้าเสน่ห์ในเวลานั้นอย่าง แคเธอรีน ซีต้า-โจนส์ ซึ่งกลายเป็นเคมีที่ลงตัวของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวเล่าถึงเจ้าหน้าที่นักสืบสาวต้องตามตัวนักจารกรรมมือเก๋าที่ชื่อว่า โรเบิร์ต “แม็ค” แม็คดูกัล หลังจากถูกต้องสงสัยว่าจะเป็นคนขโมยภาพงานศิลป์อันล้ำค่า แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่กลับมีความรู้สึกดีๆต่อกันก่อนจะร่วมกันจารกรรมขโมยของมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ ซึ่งฉากที่น่าจดจำของหนังเรื่อง นี้คือการปล้นของสำคัญมูลค่ามหาศาลที่ตึกแฝดเปโตรนาสที่ประเทศมาเลเซีย

 

 

 

 

 


7.) Rising Sun (1993)

อีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำที่คราวนี้ต้องประกบกับนักแสดงแอ็คชั่นอีกคนอย่าง เวสลี่ สไนป์ โดยเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจผิวสีนามว่า เว็บ ที่ได้รับมอบหมายให้สืบคดีการตายของหญิงสาวในบริษัทใหญ่ที่ญี่ปุ่นซึ่งทำให้เขาต้องทำงานร่วมกับ จอหน์ คอนเนอร์ (ชื่อคุ้นๆ ฮ่าๆ) ตำรวจผู้เชี่ยวชาญคดีท้องถิ่นจนนำไปสู่เกมการไล่ล่าเฉือนคม ที่อาจมีเบาะแสนำไปสู่คำตอบของคดีนี้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

 

 

 

 

6.) Finding Forrester (2000)

หลายคนอาจจะคุ้นภาพจำของฌอนว่าจะต้องเป็นนักแสดงแอ็คชั่น แต่ก็มีหนังอีกหลายเรื่อง ที่เขาเลือกจะรับบทที่แตกต่างเพี่อฝากฝีไม้ลายมือให้ผู้ชมได้เห็นและหนังเรื่องนี้คือหนึ่งในตัวอย่างเหล่านั้น ฌอน รับบทเป็นนักเขียนสายรางวัลที่ชื่อ วิลเลี่ยม ฟอร์เรสเตอร์ ผู้ไม่ชอบสุงสิงกับใครเลือกใช้ชีวิตแบบสันโดษ จนได้เจอเด็กหนุ่มผิวสีที่ชื่อ จามาล ผ็มีพรสวรรค์ในเรื่องกีฬาและการเขียน การได้พบเจอของทั้งสองนอกจากจะได้แลกเปลี่ยนความคิดแล้ว ทั้งสองยังได้พบคำตอบที่พวกเขาต้องตัดสินใจเลือกในเส้นทางของชีวิตตัวเองอีกดด้วย

 

 

 

 


5.) The Hunt for Red October (1990)
ผลงานชิ้นเอกของนักเขียนแนวจารกรรมอย่าง ทอม แคลนซี่ ที่โด่งดังจนเอาไปสร้างเกมมากมายนับไม่ถ้วยนี่คือนิยายเรื่องแรกๆที่นำมาสร้างเรื่องราวของ มาร์โก้ รามิอุส ผู้การเรือดำน้าฝั่งรัสเซียที่ต้องการ0tแปรพักตร์ด้วยการขโมยเรือดำน้ำที่ดีที่สุดให้สหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขว่าเขาและเหล่าทหารหวังจะขอลี้ภัย ซึ่งอีกฝั่งก็จะยิงใส่เรือเขากลัวจะปล่อยอาวุธถล่มจนอาจจะเกิดชนวนสงครามโลกครั้งที่3 นั่นเอง งานนี้จึงฝากความหวังไว้ที่นักวิเคราะห์แห่งหน่วยซีไอเอที่ชื่อ แจ็ค ไรอัน เข้ามาช่วยเหลือครั้งนี้
เรียกได้ว่าเป็นหนังแนวจารกรรมที่ดีที่สุดอีกเรื่องเรียกได้ว่าผลงานนี้ทั้งตัวหนังสือและหนังเข้าขั้นเป็นตำนานไปเป็นที่เรียบร้อยนั่นเอง

 

 

 

4.) The Untouchables (1987)

หนังแนวแอ็คชั่นสไตล์มาเฟียที่มีเค้าโรงจากเหตุการณ์จริง เมื่อนครชิคาโก้กลายเป็นดินแดนไร้กฎหมายจากการคุมของชายที่ชื่อ อัล คาโปน ทำให้ตำรวจตงฉินที่นำทีมโดย เอเลียส เนส จึงฟอร์มทีมตำรวจเพื่อกระตุกหนวดเสือขาใหญ่ที่สุดให้ได้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ ฌอน รับบทเป็น จิม มาโลน ตำรวจจอมเก๋าที่เข้ามาร่วมงานครั้งนี้ การแสดงของเขาก็สามารถชนะใจผู้ชมและกรรมการจนทำให้ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายอดเยี่ยมครั้งแรกและครั้งเดียวแถมยังได้รางวัลลูกโลกทองคำอีกรางวัลไปกอดให้ชื่นใจอีกด้วย

 

 

 

3.) Indiana Jones and the Last Crusade (1989)

หนังผจญภัยในซีรีส์อินเดียน่าโจนส์ภาค 3 ซึ่งคราวนี้เขาต้องไปตามหาสมบัติอย่าง จอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู ทีมีความเชื่อว่าใครดื่มน้ำจากจอกนี้จะมีชีวิตเป็นอมตะแถมยังต้องเจอกับกองทัพนาซีและงานนี้เขาได้เจอพ่อที่ไม่ได้เจอกันมานานทำให้งานนี้กลายเป็นปฏิบัติการล่าสุดขอบโลกที่โหดมันส์ฮาไม่รู้ลืม ซึ่ง ฌอนได้เข้ามาสร้างสีสันและถ่ายทอดบทพ่อบังเกิดเกล้าของโนส์จนกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำมาจนทุกวันนี้

 

 

 

2.) The Rock (1996)

ถ้าจะพูดถึงบทบาทที่น่าจดจำไม่แพ้บทบาทสายลับเจ้าเสน่ห์ คงจะต้องนึกถึงผลงานปี1996 ที่ทำให้ชื่อของ ไมเคิ่ล เบย์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงการฮอลลีวูดและเป็นการประชันบทบาทของสามนักแสดงมากฝีมือ ฌอน คอนเนอรี, เอ็ด แฮร์ริส และ นิโคลัส เคจ หนังเล่าถึงกลุ่มทหารที่ต้องการจะสั่งสอนประเทศของตนที่ทอดทิ้งพวกเขา จึงวางแผนยึดขีปนาวุธหัวรบเคมีร้ายแรงจากคลังแสงและใช้คุกอันคาทราซ เป็นที่ตั้งหัวรบพร้อมกับจับตัวประกันทั้งหมด 81 ราย เพื่อข่มขู่พร้อมกับเรียกค่าไถ่เพื่อเพื่อนที่เสียชีวิตจากการรบ ทำให้เอฟบีไอจึงต้องพึ่งพานักโทษวัยเก๋าแต่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชนอย่าง จอห์น เมสัน กับ นักเคมีที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องอาวุธอย่าง สเนลีย์ กู้ดสปีด ซึ่งทั้งสองต่างก็ไม่ไว้ใจกันแต่พวกเขาต้องจับมือเพื่อหยุดแผนร้ายครั้งนี้ให้ได้

 

 

 

 


1.) James Bond Series (1962-1967, 1971, 1983)

และนี่คือบทบาที่ทำให้ชื่อของ ฌอน คอนเนอรี กลายเป็นดาวค้างฟ้าในวงการบันเทิงและกลายเป็นต้นแบบสายลับเจ้าเสน่ห์รุ่นหลังในเวลาต่อมา โดยเปิดตัวครั้งแรกใน Dr.No ซึ่งได้ผู้กำกับที่ร่วมงานก่อนหน้านี้อย่าง เทอเรนซ์ ยัง ผู้ให้คำมั่นสัญญาว่าถ้ามีบทบาทดีๆจะให้เขามาเล่น ซึ่งเขาทำตามสัญญาด้วยการให้ฌอนมารับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ที่ในตอนแรก โปรดิวเซอร์อย่าง อัลเบิร์ต บร็อคโคลี่ และ แฮร์รี่ ซัลท์แมน กับเจ้าของผลงาน เอียน เฟลมมิ่ง ยังลังเล แต่หลังจากที่ Dr.No ออกฉายทั้งสามคนเชื่อว่าฌอนเป็นสายลับ 007ที่ถอดแบบจากนิยาย ทั้งรูปร่างหน้าต่ออันหล่อเหลา ภาษากาย รวมถึงทักษะการต่อสู้และใช้อาวุธ ที่ทำให้เขาได้แสดงต่ออีก 4 ภาค ตั้งแต่ From Russian With Love (1963), Goldfinger (1964), Thunderball (1965) และ You Only Live Twice (1967) ก่อนจะอำลาบทบอนด์เพราะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ทว่าเขาก็กลืนน้ำลายกลับมารับบทบอนด์อีกครั้งในภาค Diamonds are Forever ในปี1971 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในจักรวาลหลัก แต่10ปีให้หลังเขากลับมารับบทครั้งที่ 7 และครั้งสุดท้ายอย่างถาวรในหนังเรื่อง Never Say Never Again หนังบอนด์ที่ได้ค่าย Warner’s Brothers จัดจำหน่าย

 

 

best-10-movie-sean-connery (6)
ทั้งหมดนี้คือ 10 อันดับผลงานที่น่าจดจำของชายที่ชื่อว่า ฌอน คอนเนอรี่ ที่วันนี้ตัวจะจากไป แต่ทุกผลงานของเขาจะอยู่ในใจเสมอตลอดไปตราบชั่วนิรันดร์…

@P.PETTY

 

 

ข้อมูลประกอบ
- https://www.bbc.com/thai/international-54761271
- https://www.youtube.com/watch?v=fCmR1Ojrvck&ab_channel=WatchMojo.com
- https://www.imdb.com/list/ls003038499/
-