ถ้าย้อนกลับไปสมัยที่ค่ายหนัง GDH ยังคงเป็น GTH ในเวลานั้น ซึ่งจุดขายเมื่อเอ่ยถึงชื่อค่ายหนังแห่งนี้ จะนึกถึงหนังแนวฟีลกู้ด และอีกหนึ่งแนวหนังที่ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้ค่ายอื่นคือ หนังสยองขวัญ นั่นเอง ซึ่งในช่วงยุค GTH เราได้เห็นหนังสยองขวัญจากค่ายนี้ออกสู่สายตาแฟนๆ มีบางเรื่องยังอยู่ในความทรงจำมาจนถึงทุกวันนี้
วันนี้เลยขอรำลึก 5 หนังสยองขวัญสุดระทึกของค่าย GDH เมื่อครั้งยังใช้ชื่อ GTH มาฝากแฟนๆเหมือนเช่นเคย ไปชมกันได้เลยครับ
ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547)
ผลงานของสองผู้กำกับหน้าใหม่ในเวลานั้นอย่างพี่โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (Homestay) และ พี่โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล (พี่มาก พระโขนง) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของช่างภาพนามว่า ธรรม์ และ เจน แฟนสาว ที่เผลอขับรถชนหญิงสาวรายหนึ่ง ก่อนจะพบเหตุการณ์ประหลาดๆ เมื่อภาพที่ถ่ายทุกครั้งมักจะมีแสงเงาประหลาด เป็นเงาของผู้หญิงที่เขาขับรถชนในวันนั้น ทำให้เขาต้องสืบหาที่มาของเรื่องราวทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนนำไปสู่เรื่องราวชวนสยองที่คาดไม่ถึง
เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกหลังจากที่ GTH ก่อตั้งขึ้น ซึ่งทันทีที่เข้าฉายก็สร้างกระแสตอบรับดีมาก และกวาดรายได้ถึง 107.1 ล้านบาท กลายเป็นหนังสยองขวัญที่ทำเงินสูงสุดในตอนนั้น
ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ทำให้ต่างประเทศซื้อลิขสิทธิ์นำไปรีเมค ได้แก่ ฮอลลีวูดของอเมริกา และบอลลีวูดของอินเดีย ที่มีทั้งเวอร์ชันภาษาฮินดี และภาษาทมิฬ
แฝด (2550)
เรื่องราวของ พิม กับ พลอย แฝดสยามซึ่งผ่าตัดแยกแล้วคนหนึ่งตาย ซึ่งพิมแฝดคนที่เหลือรอดอยู่รับกับความรูสึกผิดลึกๆ ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนทำพลอยตาย ด้วยการย้ายไปอยู่เกาหลีใต้ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอมีเหตุให้ต้องกลับไปเมืองไทย ไปอยู่บ้านเดิมที่เธอเคยอยู่กับพลอย และเริ่มพบเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ ซึ่งวีแฟนหนุ่มของเธอสงสัยว่าเธออาจจะมีอาการทางจิต แต่พิมกลับเชื่ออย่างสนิทใจว่าพลอยยังไม่จากบ้านนี้ไปไหนและกำลังต้องการอะไรสักอย่าง
เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชุดเดิมจากชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ซึ่งกวาดรายได้ถึง 67.5 ล้านบาท และได้รางวัลสุพรรณหงส์ มาสองรางวัล สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและเพลงประกอบยอดเยี่ยม
โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต (2551)
ผลงานเปิดตัวของผู้กำกับ พี่จิม โสภณ ศักดาพิสิษฐ์ ที่เล่าถึง เชน พนักงานฉายหนังที่กำลังมีปัญหาเรื่องเงิน จึงร่วมมือกับรุ่นพี่ทำการซูมหนังเรื่องวิญญาณอาฆาต ที่ทางผู้กำกับเอามาฉายก่อนฉายจริง ก่อนที่จะพบเรื่องราวชวนสยองขวัญ เพราะมันคือหนังที่หยิบเอาเรื่องจริง ทำให้เขาต้องแข่งกับเวลาก่อนที่เขาจะต้องตายตอนจบเหมือนในหนัง
นับเป็นผลงานที่หลายคนบอกว่าเป็นหนังสยองที่น่ากลัวที่สุด (ฉากสุดท้ายติดตาเลยทีเดียว) ซึ่งผีชบาในเรื่องรับบทโดย พี่เจีย- สฤญรัตน์ โทมัส ที่ต้องลงทุนเมคอัพเป็นผีถึง 4 ชั่วโมง บวกพลังการแสดงทั้งเสียงและท่าทางที่ทำให้ผีชบากลายเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้
หนังตระกูลแพร่ง (Phobia) (2551-2552)
นี่คือโปรเจคสายหนังสยองขวัญที่ถือว่าดีที่สุด เพราะมันคือสนามเด็กเล่นของเหล่าผู้กำกับสายสยองขวัญที่มีดีนำมารวมกันกับเรื่องสั้นในเรื่องเดียว โดยเริ่มต้นที่ 4 แพร่ง กับเรื่องราวชวนสยองทั้ง 4 เรื่อง ซึ่งประสบความสำเร็จ ก่อนที่ในปีต่อมาจะสานความเฮี้ยนด้วย 5 แพร่งซึ่งความพิเศษอยู่ที่ตอนเตียงรวม ที่คุณ วิสูตรพูรวรลักษณ์ ประธานในเวลานั้นลงมากำกับตอน เตียงรวม ที่มี แดน วรเวช แสดงนำด้วยตัวเอง โดยมีเหล่าบรรดาผู้กำกับเกือบยกค่ายสละเวลามาช่วยงานอีกด้วย
ถ้าพูดถึงจุดเด่นที่น่าสนใจของหนังชุดนี้ต้องยกให้ตอนของ พี่โต้ง บรรจง ที่ขอฉีกแนวหนังสยองขวัญแบบเดิมๆไปสู่รูปแบบใหม่ที่ทั้งหลอนและตลกในเวลาเดียวกันด้วยการปั้นกลุ่ม 4เกลอ ทั้งตอนคนกลางและคนกอง จนทำให้มีแฟนๆเรียกร้องให้มีหนังของพวกเขาแยกออกมา ซึ่งพี่โต้งก็ตัดสินใจนำสี่เกลอมามีหนังเดี่ยวจนเป็นที่มาของหนัง พี่มาก พระโขนง ที่สร้างกระแสจนกลายเป็นหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดจนถึงทุกวันนี้
ลัดดาแลนด์ (2554)
หนังที่หยิบเค้าโครงมาจากสถานที่สุดหลอนระดับตำนาน ว่าด้วยครอบครัวที่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านลัดดาแลนด์ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องเจอเรื่องราวชวนสยองที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลังนี้ หลังมีข่าวการเสียชีวิตของบ้านหลังหนึ่ง ที่ทำให้ความสยดสยองกำลังคีบคลานมาหาพวกเขา
เป็นการนำจุดเด่นของหนังสยองขวัญกับดราม่าครอบครัวมาผสมจนเข้าอย่างลงตัว แถมได้นักแสดงอย่าง ก้อง สหรัฐ และ ป็อก ปิยธิดา แล้วยังเป็นผลงานการแสดงเต็มตัวครั้งแรกของ ปันปัน สุทัตตา อีกด้วย
จากความสำเร็จของรายได้หลังเข้าฉาย ที่ทำรายได้แซงห้าแพร่งและชัตเตอร์ ทำให้อีกสองปีต่อมา จึงถูกดัดแปลงเป็นละครเวทีในชื่อเดียวกัน
ทั้งหมดนี้คือ 5 หนังสยองขวัญสุดระทึกของ ค่าย GDH หรือ GTH เดิม มาฝากทุกท่าน ซึ่งวันนี้พวกเขาเริ่มเดินใหม่อีกครั้งและรอดูว่าจะมีหนังสยองขวัญเรื่องไหนมาอีกคงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป
@P.PETTY
ข้อมูลประกอบ
- http://www.thaicinema.org/kit37alone.php
- https://www.dek-d.com/starissue/38957/
- https://movie.mthai.com/movie-news/39588.html
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]

































