เมื่อสองคนที่สูญเสียการได้ยินต้องถูกไล่ล่า ได้เวลาที่ความเงียบจะปลุกทุกสัญชาตญาณสู้ เผยโปสเตอร์พร้อมชื่อไทย The Silent Hour “เงียบระห่ำ ลั่นนรก” ภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์เดือดระทึก พร้อมงัดทุกสกิลสู้เพื่อเอาตัวรอดจากกลุ่มโคตรนักฆ่า
เตรียมมันส์ไปกับมิชชันไล่ล่าส่งท้ายปีกับเรื่องราวของ “แฟรงก์ ชอว์” (โจแอล คินนาแมน) ยอดนักสืบแห่งกรมตำรวจบอสตันที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้เขาสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร การเปลี่ยนแปลงและการสูญเสียครั้งนี้ทำให้แฟรงก์ต้องห่างหายจากแวดวงสอบสวนไปนานนับปี จนกระทั่งเขาถูก “ดั๊ก สเลเตอร์” (มาร์ก สตรอง) เพื่อนสนิทจากหน่วยปราบปรามยาเสพติดชักชวนให้ทำคดีร่วมกัน
เมื่อเขาต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมสุดอันตราย การเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ยังรวมถึงพยานปากสำคัญที่เป็นคนหูหนวกอย่าง “เอวา เฟรมองต์” (แซนดรา เม แฟรงก์) ที่ตกเป็นเป้าหมายจากกลุ่มโคตรนักฆ่า ทำให้เขาต้องปกป้องเธอและหนีตายไปด้วยกัน
งานนี้ผู้เขียนบทภาพยนตร์ “แดน ฮอลล์” ได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านบทความของ “แดน คาริโอเน” เจ้าหน้าที่ตำรวจ NYPD ที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนต้องใช้เครื่องช่วยฟัง นั่นกลับทำให้เขาถูกองค์กรเลิกจ้าง แต่เขาเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ยื่นฟ้องหน่วยงานจนชนะคดี และปัจจุบันเขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปกติ โดยเรื่องราวของแดนถูกดัดแปลงและสร้างสรรค์จนกลายเป็นภาพยนตร์แอ็กชันสุดดุเดือดเรื่องนี้
“มองเผินๆ ‘The Silent Hour’ เป็นเรื่องราวของนักสืบที่สูญเสียการได้ยินติดอยู่ในอะพาร์ตเมนต์กึ่งร้างในบอสตันกับพยานคดีฆาตกรรมหูหนวก ทั้งสองคนต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากทีมนักฆ่า… แต่เรื่องนี้มีประเด็นลึกซึ้งกว่านั้น หัวใจหลักของเรื่องคือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักสองตัวอย่าง ‘แฟรงก์’ และ ‘เอวา’ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนความระทึกครั้งนี้… และมันเกี่ยวกับการที่นักสืบคนนี้ได้เรียนรู้จากพยานว่าแม้เขาจะสูญเสียการได้ยิน แต่เขายังไม่ได้สูญเสียคุณค่าของตัวเองในฐานะตำรวจหรือในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง” ฮอลล์เผย
สำหรับผู้กำกับ “แบรด แอนเดอร์สัน” สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของ “The Silent Hour” คือการที่หนังมีศูนย์กลางเป็นตัวละครหูหนวก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการใช้งานออกแบบเสียงเป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่อง
“ผมชอบที่เรื่องราวไม่มีอะไรซับซ้อน เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ในโลเคชันหลักที่เดียว ข้อจำกัดเหล่านี้เป็นตัวจุดประกายความคิดสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม ในหนังเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้น มันจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งอย่างไร ตำรวจที่กำลังจะหูหนวกไปตลอดกาล มันมีผลต่อการเล่าเรื่องอย่างไร ในหนังเรื่องนี้เราหาวิธีเข้าไปอยู่ในหัวของตัวละคร ‘แฟรงก์’ ของ ‘โจแอล คินนาแมน’ ทั้งได้ยินหรือไม่ได้ยินเหมือนกับเขา ในฐานะคนทำหนังนี่เป็นวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใหม่ผ่านเสียงที่ได้ยินและความเงียบ”
ด้านนักแสดงหนุ่ม “โจแอล คินนาแมน” เคยร่วมงานกับผู้กำกับแอนเดอร์สันเมื่อสิบกว่าปีก่อนในซีรีส์ “The Killing” (2011-2012) ผลงานชิ้นแรกของคินนาแมนในอเมริกา และเป็นประสบการณ์การทำงานที่เขาจำไม่ลืมถึงทุกวันนี้ ในผลงานล่าสุด “The Silent Hour” คินนาแมนยังคงชื่นชมในความใส่ใจในรายละเอียดของแอนเดอร์สันเหมือนเดิม
“หนังเรื่องนี้มาจากการปะติดปะต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าแบรดรู้ว่าเขาต้องการอะไร นี่เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าจริงๆ ยิ่งกว่าที่ผมคาดไว้ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ภาพยนตร์มอบอะไรให้คุณกลับไป เป็นสิ่งที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต””
โดยในเรื่องนี้ การได้รู้จักกับสังคมคนหูหนวกเป็นสิ่งที่คินนาแมนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งเขารู้สึกขอบคุณสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้
คินนาแมน ได้ฝึกฝน การใช้ภาษามือ อย่างหนัก จนมาถึงระดับที่ใช้สื่อสารกับ นักแสดงสาว “แซนดรา เม แฟรงก์” นักแสดงสาวผู้สูญเสียการได้ยินแต่กำเนิด ที่ได้มารับบทเป็นนางเอกของเรื่องนี้เป็นอย่างดี เรียกว่า นี่คืออีกครั้งที่คินนาแมนทุ่มเทกับการแสดงในระดับซึมลึก เพื่อเข้าถึงบทอย่างแท้จริง
ความเงียบจะปลุกทุกสัญชาตญาณสู้ คอหนังแอ็กชันเตรียมเดือดส่งท้ายปีไปกับ “โจแอล คินนาแมน” (The Suicide Squad), “มาร์ก สตรอง” (Kingsman) และ “แซนดรา เม แฟรงก์” (New Amsterdam) ใน “The Silent Hour เงียบระห่ำ ลั่นนรก” 7 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

#หนังใหม่ #Thesilenthour
#เงียบระห่ำลั่นนรก
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]

































