“ ผมจะทำให้ทุกวันธรรมดาเป็นวันที่
ฤดูหนาวสามปีก่อน หลังจากผู้กำกับของเรื่องอย่าง มิจิฮิโตะ ฟูจิอิ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Journalist เขาก็ได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์เพื่อทาบทามให้เขามากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ในตอนนั้นว่ากันว่าผู้กำกับเองค่อนข้างต่อต้านหนังรักหรือหนังที่ว่าด้วยเรื่องเวลาที่เหลืออยู่พอตัว เขาค่อนข้างจะไม่ชอบวิธีการสร้างเรื่องราวที่มีการกำหนดเป้าหมายของเรื่องและมีจุดสะเทือนอารมณ์ไว้อยู่แล้ว
แต่หลังจากที่เขาได้อ่านนิยายต้นฉบับที่เขียนโดย รุกะ โคซากะ เขาก็เปลี่ยนความคิดของตัวเองไป “เนื้อเรื่องที่ถูกเขียนอย่างมีชีวิตชีวาและความน่ากลัวในระหว่างการต่อสู้กับความเจ็บป่วย ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เธอต้องการจะเขียนจริงๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จริงไม่ใช่การนำนิยายมาดัดแปลงเป็นฉบับคนแสดง แต่ผมอยากนำเสนอให้เหมือนเป็นการสมมุติเรื่องราวของคุณโคซากะตอนที่ยังมีชีวิตออกมาในรูปแบบสารคดีผสมกับฟิคชั่นดูครับ”
เคสุเกะ อิมามุระ บุคคลที่เปรียบเสมือนมือขวาของผู้กำกับกล่าวว่า “พื้นเรื่องของนิยายมันมาจากชีวิตจริงคุณโคซากะก็จริง แต่เธอไม่ได้มีโอกาสมีความรักเหมือนในนิยาย เธอจึงเขียนนิยายรักเพื่อสานความฝันให้กับตัวเอง เราจึงเอาวีดีโอมาเป็นจุดสำคัญในเรื่อง”
โดยผู้กำกับ มิจิฮิโตะ ฟูจิอิ มีข้อแม้ในการรับคำเชิญในการมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “จะใช้เวลาถ่ายทำ 1 ปีเต็ม” ให้บรรยากาศในโรงภาพยนตร์อบอวนไปด้วยบรรยากาศ 4 ฤดูกาล ทั้งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว เพื่อถ่ายทอดวันเวลาที่มัตสึริกับคาซึโตะใช้ร่วมกันตลอด 10 ปีอย่างสมบูรณ์แบบ “อยากจับภาพเหล่านักแสดง ถ่ายทอดทั้งความร้อน ความหนาว กลิ่น อุณหภูมิร่างกาย ที่เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนผันของฤดูผ่านการแสดงออกมา”
ทั้งนักแสดงและเหล่าทีมงานต่างทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อถ่ายทอดระยะเวลา 10 ปีที่ครอบครัวเผชิญหน้ากับโรคร้าย
การถ่ายทำภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี 2020 ผ่านพ้นฤดูหนาว จนการถ่ายทำเสร็จส้นเมื่อช่วงต้นฤดูร้อนปี 2021 ในนั้นมีฉากสำคัญที่ความรู้สึกของมัตสึริและคาซึโตะสื่อถึงกัน ที่พวกเขาต้องเลื่อนการถ่ายทำหลายต่อหลายครั้งเพื่อเก็บภาพดอกซากุระบานเต็มต้น ทั้งทีมถ่ายทำ ทีมช่างไฟต่างทุ่มเทอย่างเต็มนี้ในฉากที่ลมพัดซากุระพัดปลิวทั้งสองส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา “ฉากนี้จะไม่มีบทพูดอะไรเลย แต่เหล่าโปรดิวเซอร์กลับบอกผมว่า เชื่อสิว่าคนดูต้องรับรู้ ผมก็กังวลเหมือนกันนะว่าถ้ามันไปได้ไม่สวยจะทำยังไงดี แต่เราภาพที่ได้ออกมาดีมากครับ” ผู้กำกับฟูจิอิกล่าว
ก่อนหน้าฉากนั้นภาพวีดีโอที่มัตสึริถ่ายคาซึโอะก็ได้ นานะ โคมัตสิเป็นคนถ่ายด้วยตัวเอง หลังการถ่ายทำจบเมื่อโคมัตสินึกถึงช่วงเวลาตลอดหนึ่งปีที่เธอใช้ในการบันทึกเรื่องราวของมัตสึริด้วยตาทั้งคู่ของเธอแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]




























