Police Story : วิ่งสู้ฟัด (警察故事)
ประเภท : ภาพยนตร์
แนว : แอคชั่น /ตลก
ผู้กำกับ : เฉินหลง
ผู้เขียนบท : เอดเวิร์ด ถัง
แสดงนำ : เฉินหลง / หลินชิงเสีย / จางม่านอวี้
ผู้ผลิต : Golden Harvest
ฉาย : 25 มกราคม 1985
ข้อมูลอ้างอิง IMDB

ย้อนกลับไปในช่วง ยุค 80 เป็นยุคทองของภาพยนตร์ฮ่องกง เป็นยุคที่มีหนังออกมามากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว จนสามารถเรียกได้ว่า “ล้นตลาด” ที่ดีก็มีเยอะ ที่แย่ก็มีมาก ถ้าเรื่องไหนดังมาก จะมีการก๊อปปี้แนวคิด ธีมเรื่องแตกแยกย่อยไปเป็นของตัวเอง เป็นยุคของ ฉีเคอะ และ จอนห์ วู สามารถทำเงินให้ค่ายหนังมากมาย รวมไปถึงนักแสดงที่ยังคงเป็นตำนานจนถึงปัจจุบันอย่าง โจวเหวินฟะ , หงจินเป่า , แซม ฮุย , เจิ้งจื้อเหว่ย , หลิวเต๋อหัว , เลสลี่ จาง ,หลี่เหลียงเหว่ย และคนอื่นๆอีกมากมาย
รวมไปถึง “เฉินหลง” หรือ “แจ๊คกี้ ชาน” ก็แจ้งเกิดในหนังแอคชั่นตลกเสี่ยงตาย ที่มีนักวิจารณ์หนังในฮ่องกงถึงกับยกให้เป็นก้าวใหม่ของหนังแอคชั่นฮ่องกง ที่เดินเรื่องเรียบง่าย ขายความสนุกเพียวๆ กับภาพยนตร์เรื่อง “Police Story” หรือ “วิ่ง สู้ ฟัด”
เรื่องย่อ
พล๊อตง่ายๆของ วิ่งสู้ฟัด จะเล่าถึง “เฉินเจียจี๋“ (หรือ เสียงพากย์พันธมิตรจะเรียกว่า “กุ๊กกู๋” ที่ เฉินหลงเคยแสดงในเรื่อง กุีกกู๋ปืนเค็ม เพื่อให้คนดูในไทยจำได้) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องออกตามจับ “บิ๊กจู๋” พ่อค้ายาเสพย์ติดรายใหญ่ ที่ตำรวจฮ่องกงต้องการตัวมากที่สุด เขาเปิดไนท์คลับและบริษัทค้าเงินตราเพื่อบังหน้า
แต่แผนการดักจับพังเละเทะ แถมพอจับบิ๊กจู๋ได้ ก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะเอาผิด ทางกรมตำรวจจึงต้องการตัวของ เซรีน่า (หลิน ชิงเสีย) เพื่อนำตัวเธอมาขึ้นศาลในฐานะพยาน และโครงการพิทักษ์พยานสุดวุ่นวายก็เริ่มขึ้น
แต่ก็มีเรื่องภายในองค์กรตำรวจ ที่กล่าวถึงการทำงานของกุ๊กู๋ว่าเกินกว่าเหตุ และคุกคามผู้ต้องสงสัยในช่วงการประกันตัวสู้คดี ทำให้กุ๊กกู๋ต้องหาทางพิสูจน์ว่าที่พวกเขาโดนคนของบิ๊กจู๋ตามล่าเอาชีวิต ปิดปากพยานเป็นเรื่องจริง แม้ต้องจับตัวผกก.สถานีเพื่อพิสูจน์ความจริงเขาก็จะทำ จนในที่สุด บิ๊กจู๋ ก็ถูกจับได้พร้อมหลักฐาน เป็นอันจบเรื่อง พล๊อตมีแค่นี้จริงๆ…
“วิ่ง สู้ ฟัด” เป็นผลงานการกำกับของ เฉินหลง ที่ออกแบบ และลงเล่นคิวบู๊แบบไม่ใช้ตัวแสดงแทนทั้งเรื่อง (บางซีนพี่แกถึงกับกระดูกร้าว กรามหลุด หรือหยุดหายใจไปเลยก็มี) แถมยังมีเนื้อหาเป็นการตีแผ่ เสียดสีวงการตำรวจในฮ่องกงยุคสมัยนั้นได้อย่างเจ็บแสบอีกด้วย ทั้งการทำงานภายใต้คำสั่งของพวกอังกฤษ การทำงานแบบเช้าชามเย็นชามของตำรวจฮ่องกง รวมไปถึงเรื่องราวของผู้มีอิทธิพลที่พยายามจะเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย (หลังยุค “เป๋ห่าว” หมดอำนาจ พวกมาเฟียก็เริ่มสร้างอิทธิพล)
อีกหนึ่งสาเหตุที่เฉินหลงเลือกใช้ชื่อหนังแบบเรียบง่ายว่า Police Story ก็เพราะว่า เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจอย่างจริงจังในมุมสนุกสนาน เหมือนกับชีวิตตำรวจน้ำดีคนหนึ่งที่ต้องการต่อสู้กับความชั่วร้ายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นความแตกต่างของหนังแอคชั่นฮ่องกงทั่วๆไปในยุคนั้นที่เน้นเรื่องของมาเฟีย เจ้าพ่อ หรือ โลกทรชนเสียมากกว่า
ฉากไล่ล่าในตำนานที่หลายๆคนจำได้ไม่เคยลืม กับ “การต่อสู้ในห้างสรรพสินค้า” ที่จัดเต็มทั้งพร๊อบ + คิวบู๊ความยาว 7 นาทีแบบ Non-Stop ไม่ใช้สลิง+ ถ่ายทำแบบ “เทคเดียว” (แต่ใช้หลายมุมกล้อง) และปิดท้ายด้วยซีนการกระโดดรูดเสาลงมาจากชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า ลงมาเพื่อจับบิ๊กจู๋วายร้ายของเรื่อง โดยซีนนี้เฉินหลงมีอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน และกรามหลุดจากแรงกระแทก ซึ่งมาตรวจพบเอาหลังจากถ่ายทำซีนดังกล่าวเสร็จแล้ว
ถึงแม้ว่าเฉินหลงจะไม่ใช้สตั๊นท์เลยในการแสดงทุกซีน แต่กับดาราสาวอย่าง หลินชิงเสีย กลับใช้สตั๊นท์เปลืองมากๆ เพราะมีนักแสดงแทนเจ็บตัวเยอะมากในซีนดังกล่าว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกทีมงาน และผู้เกี่ยวข้องเรียกกันติดตลกว่า “The Glass Story” เพราะในเรื่องส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยซีนที่มีกระจกแตก ทั้งพุ่งเข้าหา การตกจากที่สูง การฟาดฟันจนกระจกแตกไปหลายบาน แน่นอนว่ากระจกที่แตก กว่า90% เป็น “กระจกที่ทำจากน้ำตาล” แล้วใส่เสียงเอฟเฟ็กต์เอาทีหลัง
ตัวหนังได้รับคำชื่นชมมากมาย และยังคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงสาขา “งานภาพยอดเยี่ยม” เป็นรางวัลแรก และรางวัลเดียวในชีวิตของเฉินหลงในฮ่องกงเกี่ยวกับงานภาพอีกด้วย ซึ่งนอกจากรางวัลแล้ว ตัวหนังเองก็ทำรายได้ที่ฮ่องกงสูงถึง 26,626,760 เหรียญฮ่องกง ในยุคที่ค่าตั๋วหนังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญฮ่องกงเท่านั้น

และนี่คือความเจ๋งของหนังฮ่องกงในตำนานจากยุค 80 ที่แอดมินชื่นชอบ และหยิบมาให้ได้อ่านกันเพลินๆครับ จริงๆมีหนังฮ่องกง หนังจีนมากมายที่แอดมินอยากเอามาเล่าสรุปย่อๆพร้อม Fact สนุกๆแบบนี้เรื่อยๆ ยังไงก็ขอฝากติดตามกันด้วยนะครับ!
แอดมิน Ak47
เพลงประกอบโดย เฉินหลง
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]



































