Dune: Part Two
กำกับ : เดอนี วีลเนิฟว์
บทภาพยนตร์ : เดอนี วีลเนิฟว์ / จอน สไปต์ส
สร้างจากนิยาย : ดูน โดย แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต
อำนวยการสร้าง : แมรี พาเรนต์ / เคล บอยเตอร์ /เดนิส วิลล์เนิฟ /ทันยา ลาพอยต์ /แพทริก แมคคอร์มิค
นักแสดงนำ : ทิโมธี ชาลาเมต์/ เซ็นเดยา /รีเบกกา เฟอร์กูสัน /จอช โบรลิน /ออสติน บัตเลอร์ /ฟลอเรนซ์ พิว /เดฟ บอทิสตา /เลอา แซดู
กำกับภาพ : เกร็ก เฟรเซอร์
ตัดต่อ : โจ วอล์กเกอร์
ดนตรีประกอบ : ฮันส์ ซิมเมอร์
บริษัทผู้สร้าง : เลเจนดารีพิกเจอส์
ผู้จัดจำหน่าย : วอร์เนอร์บราเธอส์พิคเจอส์
ความยาว 2 ชั่วโมง 45 นาที
กำหนดฉาย: 29 กุมภาพันธ์ 2024
ดูน ภาคสอง เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวไซไฟมหากาพย์ กำกับโดยเดอนี วีลเนิฟว์ เขียนบทร่วมกับจอน สไปต์ส โดยเป็นภาคต่อของ ดูน (2021) เป็นภาคที่สองของการดัดแปลงสองตอนจากนวนิยายในปี 1965 เรื่อง ดูน โดยแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต เป็นเรื่องราวการติดตามของตัวละครพอล อะเทรดีส ในขณะที่เขารวมตัวกับผู้คนเฟรเมนของดาวเคราะห์ทะเลทรายอาราคิส เพื่อชนะสงครามกับตระกูลฮาร์คอนเนน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะตามติดการผจญภัยที่จะกลายเป็นตำนานของ พอล อะเทรดีส ที่เขาได้ร่วมกับ ชานี่ และเหล่าเฟรแมน ขณะเดียวกันนั้นเขาก็อยู่บนเส้นทางแห่งการแก้แค้นทุกคนที่มีส่วนร่วมในการทำลายครอบครัวของเขา พร้อมเผชิญหน้ากับทางเลือกระหว่างความรักในชีวิต กับชะตากรรมของจักรวาลทั้งมวล ขณะเดียวกันนั้นเขาก็ต้องหาทางป้องกันอนาคตอันเลวร้ายที่มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่มองเห็น
ชัดเจนแล้วว่า ใน ดูน ภาคสอง จะเป็นเรื่องราวที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของพอล ที่ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตกับเหล่าเฟรแมน ชนพื้นเมืองของดวงดาวที่ครั้งหนึ่งเขาและตระกูลเคยเป็นผู้ปกครอง แน่นอนว่าเขาจะต้องได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แต่มันจะเปลี่ยนแปลงเขาให้กลายเป็นอะไร แล้วเขาจะใช้สิ่งที่มีในการหยุดยั้งอนาคตอันเลวร้ายของจักรวาลได้ยังไง นี่เป็นเรื่องที่เราต้องหาคำตอบกันต่อไป
การพัฒนาเริ่มต้นขึ้นหลังจากเลเจนดารีเอ็นเตอร์เทนเมนต์ได้รับลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ในปี 2016 วีลเนิฟว์เซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2017 โดยมีความตั้งใจที่จะดัดแปลงนวนิยายเรื่องนี้เป็นสองส่วนเนื่องจากเนื้อเรื่องมีความซับซ้อน และนักแสดงจัดหนักจัดเต็ม โดยมีทิโมธี ชาลาเมต์, รีเบกกา เฟอร์กูสัน, จอช โบรลิน แสดงนำ
ร่วมด้วย สเต็ลลัน สกอชกวด, เดฟ บอทิสตา, สตีเฟน แม็คคินลีย์ เฮนเดอร์สัน, เซ็นเดยา, ชาร์ลอตต์ แรมพลิง และฆาบิเอร์ บาร์เดม กลับมารับบทเดิมจากภาคแรก และมีออสติน บัตเลอร์, ฟลอเรนซ์ พิว, คริสโตเฟอร์ วอลเคน และเลอา แซดู มาร่วมงานด้วยในภาคนี้
“ข้อแตกต่างระหว่างภาคแรกกับภาคสองคือ Dune: Part One เป็นการแนะนำสู่โลกใบใหม่ทั้งหมดที่คนดูต้องการรู้ว่าใครเป็นใคร? ใครกำลังทำอะไร? เทคโนโลยีต่างๆเป็นยังไง? และมีวัฒนธรรมแบบไหน? ทั้งหมดที่ผมพูดได้คือ Part 2 จะแตกต่าง และองค์ประกอบทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วครับ แต่ผมคิดว่าหนังจะดัดแปลงให้มันสะเทือนใจกว่าในหนังสือนะ ทิศทางที่ภาค 2 จบลงมันจะสร้างความสมดุลเพื่อสิ้นสุดเรื่องราวของพอลในแบบที่เราตั้งใจไว้ในภาค 3 ครับ” เดอนี วีลเนิฟว์ กล่าว
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]






























