บทสรุปเกมClair Obscur: Expedition 33
Clair Obscur: Expedition 33
ประเภท : RPG / Turnbase
เครื่อง : PlayStation 5 , Xbox Series และ PC (Steam)
พัฒนาโดย : Sandfall Interactive
วันวางจำหน่าย : 24 เมษายน 2025
เรียกได้ว่า นี่คือเกมที่น่าจับตามองที่สุดอีกเกมในปี 2025 กับผลงานเกม RPG Turnbase ที่มีรสชาติแบบเอเชีย ผสมตะวันตก พร้อมงานภาพที่ฉูดฉาดหวือหวา และเรื่องราวที่ซับซ้อนหลายทางเลือก กับผลงานที่มีชื่อว่า Clair Obscur: Expedition 33
เกมนี้คือ!?
Clair Obscur: Expedition 33 เป็นผลงานเกมจากทาง Sandfall Interactive ที่หยิบเอาเกมเพลย์สไตล์ Turnbase แบบ J-RPG ที่เกมเมอร์รุ่นเก๋าคิดถึง แต่นำเสนอผ่านงานศิลป์ และการเล่าเรื่องในสไตล์ฝรั่งจ๋า พร้อมเรื่องราวที่เข้มข้นซับซ้อน โดยผู้เล่นจะต้องนำทีมสมาชิกของ หน่วย Expedition 33 (คณะสำรวจที่ 33) ออกทำภารกิจเพื่อทำลาย Paintress เพื่อที่เธอจะได้ไม่วาดภาพแห่งความตายอีกเลย ตัวเกมจะให้ผู้เล่นได้สำรวจโลกแห่งความมหัศจรรย์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฝรั่งเศสในยุค Belle Époque และต่อสู้กับศัตรูแบบ RPG Turnbase เรียลไทม์
“ปีแล้วปีเล่า ที่เธอลบเราออกไป”
ทุกปี Paintress สิ่งที่เหนือธรรมชาติผู้มีสิทธิ์ชี้เป็นตายแก่มนุษย์ราวยมทูต เธอจะตื่นขึ้นมาและวาดภาพบนเสาหินของเธอ และจบลงด้วยการเขียนเลขอาถรรพ์ และทุกๆ คนที่มีอายุขัยตรงกับเลขที่เธอเขียน จะถูกทำให้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาล …
ปีแล้วปีเล่า ตัวเลขนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ และ ผู้คนก็ถูกลบออกไปมากขึ้น …จนกระทั่ง วันที่ Paintress ตื่นขึ้นมา และเขียนเลข “33″
มนุษย์กลุ่มหนึ่ง ได้รวมตัวกันเป็น คณะสำรวจ เพื่อต่อต้านระบบเหนือธรรมชาติ อำนาจลี้ลับ ด้วยศาตร์ต่างๆเท่าที่จะงัดมาใช้งานได้ ทั้งเทคโนโลยี เวทมนตร์ต่างๆ เพื่อออกเดินทางทำภารกิจสุดท้าย “ทำลายPaintress “ เพื่อที่เธอจะไม่สามารถวาดภาพ แล้วชี้ให้ใครต้องตายอีก
ความหวังอยู่ที่ “คณะสำรวจที่ 33″ ที่จะทวงคืนอิสระในการมีชีวิต และความตายโดยที่ไม่มีใครหน้าไหนมากำหนดชะตากรรมพวกเขาอีกต่อไป…แต่พวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งปีที่จะมีชีวิตอยู่
ทีมงานคณะสำรวจที่ 33 ทั้ง Gustave วิศวกรแขนกล, Maelle น้องสาวบุญธรรม, Lune จอมเวทย์ผู้แสวงหาความรู้ ต้องเร่งออกเดินทางเพื่อทำลายวัฏจักรแห่งความตายของ Paintress โดยอาศัยเส้นทางของการสำรวจครั้งก่อนๆ และค้นพบชะตากรรมของคณะสำรวจก่อนหน้าพวกเขาที่ทำไม่สำเร็จ ไปพร้อมๆกับทำความรู้จักกับสมาชิกของคณะสำรวจที่ 33 โดยยิ่งรู้จักตัวละครในทีมมากเท่าไหร่ ความสามารถในการต่อสู้ด้วยสกิลที่ซัพพอร์ทกันก็จะมีมากขึ้น
โดยมี Renoir ชายลึกลับที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว และ Verso ผู้เฝ้าติดตามกลุ่มด้วยจุดประสงค์บางอย่าง กำลังจับตามองห่างๆ และมีวัตถุประสงค์บางอย่าง
**เนื้อเรื่องอ่านท้ายบทความแบบสปอยล์จัดเต็ม**
Gameplay
เกมเพลย์ของClair Obscur: Expedition 33 จะมีความเป็น JRPG สูงมาก การต่อสู้เมื่ออยู่ในเทิร์น ตัวละครที่มีค่าความเร็วสูง จะเข้าเทิร์นก่อนเป็นลำดับแรกๆ พร้อมแอคชั่นแบบเรียลไทม์ ที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้แบบ Turnbase โดยตัวละครแต่ละตัว จะมีการเล่นที่ต่างกันไป ทั้งสกิล และอุปกรณ์สวมใส่ ที่ส่งผลต่อความสามารถโดยรวมของปาร์ตี้
การต่อสู้—หลบ ปัดป้อง และโต้กลับเกมนี้ทืทำได้แบบเรียลไทม์ และเล็งจุดอ่อนของศัตรูโดยใช้ระบบเล็งด้วยตัวผู้เล่นเอง เป็นจุดเด่นที่ทำให้เกมมีความฉูดฉาดในการต่อสู้ และเร่งให้ผู้เล่นคิด วางแผน เพื่อการตอบโต้ต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตรงหน้า ซึ่งในส่วนนี้ สามารถปรับได้ตามความยากของเกม ที่มีให้เลือก โดยโหมด Easy เล่นได้แม้ไม่ชำนาญการกดหลบ และโหมด Expert ที่ยากสุดของเกม จะต้องอาศัยจังหวะป้องกันและหลบที่แม่นยำขึ้น
REVIEW 10/10
-เกมเพลย์ 3 /3
-งานภาพ 3/3
-ความชอบ 1 /1
จากเกมที่ไม่คิดจะเล่น สู่เกมที่ไม่อยากให้จบ นี่คือเกมที่เราขอยกให้ 10/10 อีกเกมของเวปไซท์เราเลยครับ!
มันคืองานศิลปะแห่งความหม่นหมอง และมีความหวัง ที่ควรค่าแก่ Game of the Year จริงๆ
ต้องยอมรับอย่างนึงว่า เราไม่ค่อยเชื่อฝีมือของทีมงานฝรั่ง ที่คิดจะทำเกม JRPG เลย หลายครั้งที่ทีมงานฝรั่งเอาระบบเทิร์นเบสสไตล์ญี่ปุ่นมาใส่ก็แค่ผิวเผินไม่มีอะไรว้าว และไม่อยากเล่นเท่าไหร่ครับ แต่พอเปิดใจ ลองกดเกมนี้มาเล่น บอกเลยว่า สะกดสายตา และเล่นกับความอยากรู้เนื้อเรื่องหลังจบบท Prologue ขึ้นมาเลย และเมื่อเล่นก็ได้เข้าใจว่า ตัวเกมได้พัฒนาเอาความน่าเบื่อของระบบ JRPG ยุคเก่า มาเร่งเร้าติดสปีดให้เร็ว รุนแรง เร้าใจ และสาดความเป็น Emotional สร้างอารมณ์ร่วมด้วยเนื้อเรื่อง และบทเพลง พร้อมงานศิลป์แบบ Belle Époque ที่ชวนตั้งคำถามอย่างมาก…
ทำให้ส่วนตัวมองว่า เกมนี้ไม่ใช่แค่ RPG แบบเทิร์นเบสธรรมดาๆแล้ว แต่มันคือประสบการณ์ที่พาผู้เล่นดำดิ่งสู่การต่อสู้กับชะตากรรม ความตาย และความงดงามของความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
คุณจะรับบทเป็นสมาชิกของ “คณะสำรวจที่ 33″ ซึ่งถูกส่งออกไปหยุดยั้ง “Paintress” สิ่งมีชีวิตลึกลับผู้ลบชื่อของผู้คนออกจากโลกใบนี้ทุกปี
ใน Act 1 เกมพาคุณไปรู้จักตัวละคร ระบบพื้นฐาน และปูความสัมพันธ์ต่างๆ อย่างแน่นแฟ้น และตบหน้าคนเล่นด้วยจุดหักเหที่ถึงต้องใช้คำว่า “ทีมงานกล้านำเสนอ” มากๆ และสร้างปมที่ทำให้เรายิ่งอยากรู้ไปอีกว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น…
เมื่อเข้าสู่ Act 2 เกมเริ่มเปิดโครงสร้างเนื้อเรื่องอย่างเข้มข้น นำเสนอภารกิจสังหาร Paintress ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความสูญเสีย และความจริงที่บีบหัวใจ ผ่านทั้งเอกสารตามทาง และการเล่าผ่านคัตซีน บทสนทนาตัวละครในค่าย ที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับตัวละคร และมีมุมมองต่อพวกเขามากขึ้น พร้อมเล่นกับอารมณ์คนเล่นด้วยปมประเด็นครอบครัวในช่วงท้ายบทที่ช๊อตฟิลคนเล่นอีกครั้ง…
ส่วน Act 3 คือบทสรุปที่บีบคั้นอารมณ์ที่สุด เล่นกับความสัมพันธ์ ความจริง (พร้อมงานออกแบบมอนสเตอร์ที่ทวีความเดือดไปอีก) และทางเลือกที่ส่งผลถึงฉากจบ

แม้ฉากส่วนใหญ่จะเป็นเส้นตรง แต่ก็มีทางเลือกซ่อนอยู่ พร้อมศัตรูที่ยากขึ้นและของลับ ไม่มีมินิแมปในแต่ละพื้นที่ โดยผู้พัฒนาตั้งใจให้ผู้เล่นค้นหาเส้นทางเหมือนกับทีมสำรวจจริงบนแผนที่ใหญ่ๆให้เดินทางแบบเรียลไทม์ มีทั้งการเดินเท้า เรือ และพาหนะบิน พร้อมเข็มทิศช่วยนำทาง
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เดี๋ยวคุณก็ต้องมาเล่น NG+ หรือโหลดเซฟมาเล่นใหม่ เพื่อที่จะจบเรื่องราวได้โดยไม่ต้องรอ DLC หรือเนื้อหาต่อขยายใดๆหลังจากนี้
เป็นเกมที่กล้าทำแบบจบในตัว ซึ่งยุคนี้หาได้ยากมากๆ เพราะทีมงานเกมในสมัยนี้ มักจะทำเกมแบบสอดไส้ ทิ้งปม ไว้รอขาย DLC นั่นเอง
Turn-Based ที่ตึงเครียดระดับ Souls-like … เป็นเทิร์นเบส ที่มีUIคล้ายเกมFF Persona หรือ JRPG ที่คิดถึง มีระบบธาตุ สถานะต่างๆที่เรียบง่าย แต่ซับซ้อนในการเซตติ้งตัวละคร ผ่านการอัพค่า Statsต่างๆ , การใช้ไอเทมเสริม Stats ที่มีจำนวนมากอย่าง “Pictos” ที่หาได้จากการดรอป / ซื้อ / ปราบมอนสเตอร์ มาสวมใส่เพื่อรับพลัง
และ “Luminas” เป็นการเอาคุณสมบัติหลักของPictos มาอัพเลเวล และให้ตัวละครในปาร์ตี้สวมใส่ได้ ซึ่งเพิ่มความสามารถต่างๆ
ตัวละครมีทักษะอาวุธ และกลไกการเล่นเกมที่น่าสนใจมากๆ ตัวอย่างเช่น ทักษะของนักเวทย์ Lune จะชาร์จพลังธาตุ (จากการใช้สกิล) ซึ่งสามารถใช้เพื่อเพิ่มดาเมจสกิลอื่นๆของเธอได้ ในขณะเดียวกัน นักดาบ Maelle จะสลับไปมาระหว่างท่าทางต่างๆ ซึ่งจะเพิ่มความเสียหาย และการป้องกันของเธอ
การเผชิญหน้าในสนามรบจะให้รางวัลเป็นคะแนนประสบการณ์สกุลเงิน และการอัปเกรด
เมื่อถึงจุดเซฟที่เรียกว่า “ธงสำรวจ” ผู้เล่นจะรักษาปาร์ตี้ของตน เติมไอเท็ม และจัดแต้ม Stat และ Skill แต่การการพักที่ธงสำรวจจะทำให้ศัตรู ฟื้นคืนชีพ เหมือน Bornfire ในเกมโซล นั่นเอง (ข้อดีคือใช้ฟาร์มเวลได้นะ)
และไฮไลท์คือระบบ Parry ที่เกมนี้ใส่มา จัดว่าทำให้เกมมีความตึงเครียด ดุเดือดมากกว่า Turnbase ทั่วไป เพราะเกมจะผลักดันให้ผู้เล่นมีสติตลอดเวลาระหว่างเล่น มีส่วนร่วมในการต่อสู้ ประหนึ่งเกมตระกูลโซล ซึ่งศัตรูแต่ละตัวจะมีการออกท่าที่มีทั้งปัดทิ้งได้ หรือบังคับหลบอย่างเดียว และ การทำอนิเมชั่นของศัตรูแต่ละตัวในเกม ที่จัดว่ากวนประสาทสุดๆ เพราะบางตัวมีการดึงจังหวะด้วยการออกท่าทางหลอกๆ เพื่อให้เราสับสน และป้องกันพลาดด้วย
แต่ถ้าปัดป้องได้ครบทุกการโจมตีนั้นๆ ตัวเกมก็จะตอบแทนผู้เล่นด้วยการสวนกลับด้วยความรุนแรงเป็นรางวัล และถ้าจับจังหวะดีๆ การต่อสู้จะได้เปรียบมากๆ
ส่วนใครที่คิดว่าเกมนี้จะยาก จริงๆแล้วตัวเกมมีการปรับโหมดง่ายให้เล่น โดยจะลดดาเมจศัตรูลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้เล่นได้เสพเนื้อหาอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ ก็ยังไม่การันตีว่าจะรอดเงื้อมมือการ Parry ที่เข้าขั้นกวนประสาทได้ เพียงแต่คุณจะมีชีวิตยืนยาว และค่า HP ที่เหลือพอจะปราบบอสได้เท่านั้น

ส่วนสายแข็งฮาร์ดคอร์ ถ้าได้เล่นที่ความยากตั้งแต่ Normal ขึ้นไป เกมนี้จะทำให้คุณหลังไม่ติดเก้าอี้ ทุกครั้งที่เข้าเทิร์นศัตรู เพราะทุกการสับของพวกมัน ส่งผลถึงชีวิตได้เลย อ่อ การปลดล๊อกพลังโจมตีให้มากกว่า 9,999 (Limit Break) ให้เล่นจนจบ Act 2 ก่อนนะครับ ตีกันหลักหมื่น บางคนเล่นกันหลักสิบล้านก็มีให้เห็น
ศิลปะแห่งฝรั่งเศส และบทเพลงระดับ Epic … เกมนี้โดดเด่นด้านงานภาพอย่างแท้จริง ทั้งการใช้ฟิลเตอร์เบลอเพื่อให้ภาพดูนุ่มนวล ฉากหลังที่เปี่ยมด้วยสไตล์ฝรั่งเศส และการออกแบบตัวละครที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนศีรษะที่ใหญ่ไปนิด แต่ก็มีเสน่ห์

โดยเฉพาะตัวละครหญิงที่ดูดีและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เชื่อว่าสาวๆในเกมนี้ต้องมีซักไทป์ที่ถูกใจคุณแน่นอน ทั้งไทป์น้องสาว / ไทป์เพื่อนสาวปากซึนที่เหมือน ไมเคิล แจ๊คสันในบางมุม / ไทป์แม่ม่ายสายลุยตัวบวก … จะเรียกว่าหน้าฝรั่ง แต่ทรงตัวละครยังกะหลุดมาจากอนิเมะญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

ตามที่ Guillaume Broche ซึ่งเป็น CEO และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ได้กล่าวไว้ หนึ่งในเป้าหมายของ Clair Obscur คือ “การสร้างเกม RPG แบบผลัดตาที่เล่นได้สมจริง” ซึ่งเขาคิดว่า ยุคนี้ผู้พัฒนาเกมAAA ได้ละเลยแนวทาง Turn Base ไปหมดแล้ว และยังออกมายอมรับว่า เกม Clair Obscur นี้ ก็ได้รับแรงบันดาลใจจาก Final Fantasy และ Persona โดยเฉพาะ โดยทีมงานเริ่มต้นการพัฒนา บน Unreal Engine 4 แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้Unreal Engine 5 เพื่อใช้ประโยชน์จากการปรับปรุงการเรนเดอร์และแอนิเมชันของ Unreal Engine 5 + MetaHuman และเทคโนโลยี motion capture สร้างฉากคัตซีนที่มีชีวิตชีวา พร้อมระบบ World Partition และ Lumen ช่วยสร้างแสงแบบเรียลไทม์อย่างมีสไตล์ ซึ่งก็ทำได้จริง และสวยงามมากๆ
ส่วนดนตรีประกอบนั้นคือที่สุด เพลงในเกมพาผู้เล่นดำดิ่งไปในหลากหลายอารมณ์ ไม่ว่าจะสุข เศร้า เคว้งคว้าง หรือ อึดอัด เร่งเร้า งดงาม ด้วยเครื่องสาย ความEpic และองค์ประกอบอื่นๆที่ทำให้เราคิดถึงผลงานของ Yoko Shimomura ใน FFXV (ซึ่งเป็นภาคที่เราชอบ OST มากๆ ฟังบ่อยมากๆ) หรือซาวด์แทร็กจาก NieR: Automata ที่มีบรรยากาศทางดนตรีไม่ต่างกันมาก
โดยเฉพาะฉาก Final Boss ใน Act 3 ที่ดนตรีของเกมคือการ “ปล่อยของ” เร่งอารมณ์อย่างเดือดดาลไปพร้อมๆกับสาดความเศร้าในโชคชะตาที่มิอาจเลี่ยงได้อย่างแท้จริง จุดนี้ชอบมาก!!
Clair Obscur: Expedition 33 คือ “งานศิลปะที่เล่นได้จริง” เป็นเกมที่เล่าเรื่องครบทุกเส้น ไม่ขายฝัน ไม่เผื่อ DLC และถ่ายทอดทุกอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งทั้งด้วยเนื้อหา ระบบต่อสู้ และเสียงดนตรี
หากคุณเป็นคอ RPG ที่อยากลองอะไรใหม่ๆ หรือโหยหาเกมที่ “กล้าเล่าจบ” อย่างแท้จริง นี่คือหนึ่งในเกมที่ไม่ควรพลาดครับ
นี่แหละ Game of the Year 2025 ที่เราขอมอบมงให้ก่อนเลย!!
แอดมิน AK47
ต่อจากนี้จะเป็นสปอยล์เนื้อเรื่อง
ใครยังเล่นไม่จบ กดปิดบทความนี้ได้เลย
สปอยล์เนื้อเรื่องแบบรวบรัด
Clair Obscur: Expedition 33 ดำเนินเรื่องในโลกแฟนตาซีมืดหม่นในยุค Belle Époque ที่ถูกตีความใหม่
เรื่องราวของชาวเกาะลูมิเยร์ (Lumière) ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอก ได้ตกอยู่ภายใต้คำสาปที่เรียกว่า ล้างบาง หรือ “Gommage” มาแล้วถึง 67 ปีติดต่อกัน
ในทุกๆปี เทพีผู้เรียกว่า “จิตรกรหญิง” (The Paintress) จะวาดตัวเลขลงบนแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์ และมนุษย์ทุกคนที่มีอายุมากกว่าตัวเลขนั้นจะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เพื่อหยุดยั้งวงจรนี้ ชาวเกาะจึงจัดตั้งหน่วยสำรวจอาสาสมัครขึ้นในทุกปี เพื่อเดินทางสู่แผ่นดินใหญ่ หวังสังหารเทพีผู้นี้ก่อนจะวาดหมายเลขใหม่ และ Expedition 33 คือ “ชื่อของหน่วยล่าสุด” ที่ออกเดินทางด้วยความหวังครั้งสุดท้าย
สมาชิกหลักของหน่วย Expedition 33 ได้แก่
-กุสตาฟ (Gustave): วิศวกรมากฝีมือ วัย 32 ปี ผู้เหลือเวลาในชีวิตอีกเพียงหนึ่งปี
-มาแอล (Maelle): สมาชิกที่อายุน้อยที่สุด เป็นน้องสาวบุญธรรมของกุสตาฟ
-ลูน (Lune): นักวิชาการและจอมเวทย์ผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม
-เซียล (Sciel): นักรบอารมณ์ดีผู้มากด้วยความสามารถ
ACT1
ในวันแห่ง Gommage ปีที่ 67 วิศวกรวัย 32 ปีอย่าง กุสตาฟ ต้องกล่าวคำลาต่อคนรัก โซฟี ซึ่งมีอายุครบ 33 และกลายเป็นหนึ่งในผู้สูญหายไปพร้อมกับผู้อาวุโสทั้งเกาะ

เพื่อไม่ปล่อยให้ชะตากรรมเดิมซ้ำรอย กุสตาฟจึงเข้าร่วม Expedition 33 แต่เมื่อพวกเขายังไม่ทันเข้าไปยังแผ่นดินใหญ่ ก็ถูกโจมตีโดยชายชราผมหงอกผู้ควบคุมกองทัพสัตว์ประหลาด ส่งผลให้สมาชิกส่วนใหญ่เสียชีวิต ส่วนที่เหลือกระจัดกระจายหนีเอาตัวรอด
กุสตาฟ สามารถรวมตัวกับ ลูน, มาแอล และเซียลได้อีกครั้ง
โดยมาแอลเริ่มมีนิมิตประหลาดถึงชายผมหงอกและเด็กหญิงสวมหน้ากากผู้คุ้นหน้าเธออย่างน่าประหลาด
เด็กหญิงนั้นเตือนว่า มาแอลจะเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติในอนาคต
ระหว่างการหาทางข้ามทะเลอีกผืนเพื่อไปยังที่พำนักของเทพี พวกเขาขอความช่วยเหลือจาก เอสคีเยร์ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในตำนาน ที่ออกเดินทางร่วมกับคณะสำรวจ ที่พาพวกเขาข้ามเกาะได้ทั้งทางน้ำและอากาศ
แต่ทว่า ระหว่างเตรียมการเดินทาง กุสตาฟถูกชายผมหงอกสังหาร…
เวอร์โซ ปรากฏตัวขึ้นและขัดขวางการไล่ล่า เปิดทางให้พรรคพวกที่เหลือหนีรอดไปได้
ACT2
เวอร์โซเปิดเผยความจริงว่า เขาเป็นสมาชิกหน่วย Expedition 00 รุ่นแรก และชายผมหงอกที่ฆ่ากุสตาฟคือ เรอนัวร์ ผู้เป็นอดีตผู้นำของหน่วยนั้นเอง ทั้งสองหยุดการแก่ตัวนับตั้งแต่มาถึงแผ่นดินใหญ่ เวอร์โซเบื่อหน่ายชีวิตอมตะ ส่วน เรอนัวร์ กลับหลงคิดว่าได้รับพรจากเทพี และยอมกำจัดทุกหน่วยสำรวจที่เหลือเพื่อปกป้องนาง
เวอร์โซ จึงตัดสินใจนำทางคณะไปหาไอเทม ที่เป็น “หัวใจของเทพี” ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อทำลายเกราะป้องกันตัวนาง โดยพาพวกเขาไปยังเมืองเก่า “Old Lumière” และได้ร่วมมือกับเพื่อนเก่า โมโนโก สิ่งมีชีวิตในร่างตุ๊กตาไม้ที่จำแลงกายเป็นมอนสเตอร์ และกลายหนึ่งในกำลังรบหลักของหน่วย 33 ใหม่นี้…
เมื่อไปถึงใจกลางเมือง พวกเขาพบคฤหาสน์ของ เรอนัวร์… เวอร์โซยอมรับว่าตนเป็นลูกชายของเรอนัวร์ และเด็กหญิงสวมหน้ากากคือ อลิเซีย (Alicia) น้องสาวของเขา หลังต่อสู้ช่วงสั้นๆ เรอนัวร์ได้ย้ายคฤหาสน์และหัวใจของเทพีไป ทำให้แผนล้มเหลว
ลูนเสนอให้สร้างอาวุธพิเศษเพื่อเจาะเกราะของเทพี โดยต้องล่าตัวอันตรายที่เรียกว่า Axons 2 ตัว เพื่อนำหัวใจของพวกมันมาหลอม พวกเขาทำสำเร็จ เจาะเกราะเข้าสู่ Monolith ที่เทพีอาศัยอยู่
ทีมสำรวจ33 สามารถฆ่าเรอนัวร์ และจัดการเทพีได้ ซึ่งตัวจริงก็คือ อาลีน (Aline) มารดาของ เวอร์โซ
หลังเทพีตาย ตัวเลขบน Monolith เลือนหาย คณะเดินทางกลับลูมิเยร์ในฐานะวีรบุรุษ
แต่เวอร์โซได้อ่านจดหมายจากอลิเซีย ซึ่งเปิดเผยความจริงว่า อาลีนคือผู้ปกป้องลูมิเยร์จากเรอนัวร์ตัวจริง ที่เป็นต้นเหตุของเหตุล้างบาง Gommage
เมื่ออาลีนสิ้น ลูมิเยร์จึงไร้การปกป้อง และประชากรทั้งเกาะ รวมถึงคณะสำรวจทั้งหมด ก็พลอยถูกทำให้สลายไป…ทุกอย่างที่ทำมา สุญเปล่า เพราะทุกคนก็หายไปอยู่ดี…
ACT3
ในโลกความจริงคู่ขนาน อลิเซีย และ ครอบครัวเป็นจอมเวทย์พิเศษเรียกว่า “Painter” ผู้มีพลังสร้างโลกจำลองใน “Canvas”
แท้จริงแล้ว อาลีน (แม่) กับ เรอนัวร์ (พ่อ) กำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง Canvas ของเวอร์โซ ซึ่งมีไว้ใช้จำลองเมืองลูมิเยร์ขึ้น
เพราะ แม่ อยากใช้ชีวิตกับ “เวอร์โซตัวปลอม” (ตัวละครที่ผู้เล่นได้เห็นมาตลอด) แทน ตัวจริง ที่เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ขณะช่วยอลิเซียเมื่อนานมาแล้ว
แต่เรอนัวร์ไม่เห็นด้วย และพยายามจะทำลายมันเพื่อให้ทุกคนมูฟออนจากความสูญเสียนี้ กลับสู่ความจริงกันเสียที
เคลีย (Clea) พี่สาวของอลิเซียแนะนำให้เธอทำลาย Canvas เพื่อยุติความขัดแย้งและมุ่งหน้าสู่สงครามกับกลุ่มคู่แค้นอีกฝ่ายที่เรียกว่า “Writers”
แต่อลิเซียได้เข้าไป Canvas แต่กลับถูกพลังของอาลีน ครอบงำจนตัวตน จนเปลี่ยนไปเป็น “มาแอล” และมีชีวิตในมิติเมืองลูมิเยร์ ในฐานะเด็กกำพร้า จนเติบโตมาเข้าคณะสำรวจพร้อมกับพี่ชายบุญธรรม กุสตาฟ
Epilogue

เมื่อ มาแอล เสียชีวิตจากการล้างบาง… ตัวตน และความทรงจำที่แท้จริงของ อลิเซีย จึงฟื้นคืน เธอตื่นขึ้น และกลับมาพบ เวอร์โซตัวปลอม อีกครั้ง ซึ่งทั้งสองตั้งใจจะขับไล่อาลีนออกจาก Canvas แม้ต้องยอมให้เรอนัวร์ทำลายโลกจำลองเมืองลูมิเยร์แห่งนี้ก็ตาม
อลิเซียพยายามเกลี้ยกล่อมบิดาไม่ให้ทำลาย Canvas แต่ เรอนัวร์ ยังคงยืนกราน เธอจึงลุกขึ้นต่อสู้ ใช้พลังของ Painter คืนชีพให้คณะสำรวจและผู้เสียชีวิตทั้งหมด มาเป็นกองทัพต่อต้านเรอนัวร์ สงครามใหญ่ที่เมืองลูมิเยร์ เริ่มต้นขึ้น
ที่หอไอเฟล…เรอนัวร์ รอพบคณะสำรวจที่ 33 แต่คราวนี้เขาได้เผยความจริงโดยละเอียดต่อหน้าทุกคน และเข้าต่อสู้ด้วยพลังของ Painter ทั้งหมดที่มี พร้อมอัญเชิญบอสเสริมพลังให้ตัวเอง เพื่อทำลายล้าง Canvas
ในขณะที่ทีมสำรวจกำลังวิกฤติ อยู่ๆ อาลีน (แม่) ในร่างThe Paintress ได้ออกมาสู้กับบอสที่เรอนัวร์อัญเชิญ ทำให้คณะสำรวจ 33 กลับมาสู้ต่อได้
เมื่อการต่อสู้อันยิ่งใหญ่สิ้นสุดลง เรอนัวร์ยอมปล่อยวาง และ ยกอำนาจการตัดสินใจชะตาของ Canvas ให้กับลูกๆทั้งสอง
แน่นอนว่า มาแอล (อลิเซีย) ต้องการที่จะอยู่ในจำลองเมืองลูมิเยร์
ส่วน เวอร์โซ กลับต้องการทำลายมันเพื่อยุติวงจรความอมตะที่ว่างเปล่า และตัวตนที่ไม่ใช่ตัวจริงอย่างเขา…
ในตอนจบ เกมจะเปลี่ยนไปตามตัวละครที่ผู้เล่นเลือกบังคับ:
หากเลือก อลิเซีย : เธอเอาชนะเวอร์โซได้ เวอร์โซค่อยๆสูญสลายไป …หลังจากนั้น อลิเซีย ได้ฟื้นฟูเมืองลูมิเยร์ และคืนชีพให้ประชากรทั้งหมด โดยเธอจะนั่งฟังเพลงพร้อมกับตัวละครทุกตัวที่เคยร่วมเดินทางที่ถูกชุบชีวิตในมิตินี้ และเธอตัดสินใจอยู่ใน Canvas ไปตลอดกาล แม้รู้ว่าตนจะค่อยๆ สูญสลายไปในอีกไม่ช้า เพราะในโลกจริง เธอเป็นเด็กสาวที่พิการ มีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว…การมีความสุขในมิตินี้อาจจะเป็นความสุขเดียวที่มีอยู่
หากเลือก เวอร์โซ: เขาสามารถเอาชนะอลิเซีย และทำลาย Canvas สำเร็จ ทุกคนในมิตินี้สูญสลาย รวมถึงเวอร์โซเองด้วย
อลิเซีย ออกมาจากมิติเมืองลูมิเยร์ พร้อมครอบครัวพร้อมหน้า…
พ่อแม่ มูฟออน ยอมรับความจริงเรื่องการตายของเวอร์โซตัวจริงสำเร็จ และให้ครอบครัวเผชิญหน้าความจริงไปด้วยกัน
โดยเรื่องราวของคณะสำรวจ 33 เป็นเพียงเรื่องในความทรงจำของอลิเซียตลอดไป
#Xbox #XboxSeries #PlayStation #PS5 #PC #RPG #TurnBasedRPG
#Games #ClairObscurExpedition33
-
Super Space Sheriff Gavan Infinityตำรวจอวกาศเกียบันร่างสีแดง ประเดิมความมันปี 2026
-
Ani-One เตรียมจัดรอบ Premiere Screening อนิเมะฟอร์มยักษ์ “Sentenced to Be a Hero ผู้กล้าโทษประหาร” ฉายตอนแรก “พากย์ไทย” 60 นาทีเต็มดูก่อนใครในโลก 8 ธ.ค. นี้!
-
Samurai Troopers: Armored Troopers [อนิเมะใหม่ / ซามูไรทรูเปอร์ / 2026]#News #Anime #SamuraiTroopers #Yoroiden #サムライトルーパー #Sunrise #อนิเมะใหม่2026 #BANDAI #Plamo

































































