8 เหตุผลที่ทำให้ Outlast 2 น่าเล่น
05 เมษายน 2560 14:14 น.
Share on FacebookTweet about this on TwitterShare on Google+

OutlastUntitled-2

Outlast ถ้าพูดชื่อนี้แล้ว เกมเมอร์หลายๆคนคงมีประสปการณ์หลายๆอย่าง ทั้งเกมเพลย์ชวนอึดอัด ความน่ากลัวตื่นเต้นสยองขวัญจัดเต็มโดยที่เราไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย นับว่าเป็นแนวทางของเกมสยองรูปแบบที่ต่างไปจากเกมในท้องตลาดพอสมควร และเกมนี้มักจะถูกเหล่า Commentary ชื่อดังทั่วโลกมาเล่นเกมนี้ และสร้างความสนุกมาไม่น้อย

(แต่บ้านเราเรียก “นักแคสเกม” ซึ่งในโลกหล้าสากล ก็ไม่มีคำๆนี้ มีบ้านเราเท่านั้นที่เรียก Commentary ว่าการแคสเกม)

 

 

และในช่วงเมษายน 2017 ก็เตรียมพบกับความสยองครั้งใหม่ การเล่าเรื่องราวที่ชวนขนหัวลุก ตื่นเต้น  กับเกมที่มีชื่อว่า Outlast 2 และสำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Outlast 2 มันเจ๋งยังไง แอดมินขอเสนอ “7 เหตุผลที่ทำให้ Outlast 2 น่าเล่น” จะมีอะไรบ้าง (จากการวิเคราะห์ของแอดมินบางส่วน) ไปดูกันเลย!!  

 

 

1.ธีมเรื่องที่เปลี่ยนไป

ภาคแรกเล่าเรื่องนักข่าวหนุ่มจอมสาระแน เข้าไปทำข่าวในโรงพยาบาลบ้า  Mount Massive Asylum พร้อมกล้องตัวเดียวที่หมายจะเก็บสกู๊ปเจ๋งๆ แต่กลายเป็นฝันร้ายที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล  

ซึ่งในเดโมภาคสองนี้ นักข่าวหนุ่มคนใหม่ที่ชื่อ Blake Langermann (เบลค แลงเกอมันน์) ที่ประสปอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้เขาต้องมาติดอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ที่มีการบูชาลัทธิประหลาดๆ จนนำเขาไปพบกับจุดจบในเดโม่

ส่วนเรื่องราวในภาคหลักตัวเต็ม ก็ยังคงวนเวียนในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่เนื้อหาจะเป็นยังไงนั้น ยังคงเป็นปริศนาจนกว่าจะถึงวันวางขายโน่นเลย..

 

 

2.ความโหด รุนแรง และเลือดสาดหวาดเสียวที่เพิ่มขึ้น

นอกจากความน่ากลัวแล้ว ในภาค 2 จะเน้นไปที่ความรุนแรงมากขึ้น เลือด ซากศพ ความตายที่เรียงรายอย่างบ้าคลั่ง ก็เพิ่มความหวาดเสียวชวนแหวะได้เป็นอย่างดี ซึ่งความรุนแรงที่ว่า ไม่ได้มีแค่ฉากเท่านั้น

ยังรวมไปถึงเหล่าตัวละคร NPC บอทคนคลั่งที่พร้อมจะกระซวกไส้ตัวผู้เล่น แบบเดียวกับฉากบทสรุปในตัวเดโมภาค 2 ที่แอดมินเห็นแล้ว”เสียวเป้า”เลย

 

 

3. การนำเสนอเชิงจิตวิทยาที่ปั่นประสาทผู้เล่นเป็นระยะ

สิ่งที่ทำให้เกม Outlast เป้นที่โจษจัน ก็คือเรื่องของบรรยากาศ ความกดดันด้วยวิสัยทัศน์ที่จำกัด บวกกับความมืดชนิดที่ว่า “เอาสีดำมาทาจอ” เพราะมันมองอะไรไม่เห็น นอกจากการเอากล้องอินฟาเรดมาส่อง ซึ่งก้ต้องมาลุ้นกันอีกว่าแบตจะหมดเมื่อไหร่ แล้วถ้าหมดจะหาจากไหนยังไง  

 

 

ยังไม่รวมเรื่องราวของความแปลกประหลาดของฉาก ที่มีตัวประหลาด เลือดสาดเต็มทางเดิน ตัดสลับความจริงเป็นระยะๆ จนบางครั้งก็เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนภาพจริง อันไหนภาพหลอน 

 

ซึ่งในภาคนี้ นอกจากวิสัยทัศน์ที่แคบ มืด แล้ว ยังต้องเจอกับ ความสว่างที่กลายเป็นของ “ที่น่ากลัวที่สุด” เพราะเหล่าศัตรู คนคลั่ง บางครั้งมันมาพร้อมกับแสงสว่าง ตะเกียง ไฟฉาย ที่พร้อมสาดส่องหาตัวผู้เล่นที่ซ่อนอยู่ และพวกมันมีความฉลาด และชั้นเชิงในการควานหาตัวผู้เล่นที่พัฒนาจากภาคแรกอีกด้วย

 

อีกปัจจัยหนึ่งที่พัฒนาจากภาคที่แล้วก็คือ “เสียง” จากในเดโมที่ได้สัมผัสมา จะพบว่าเรื่องของรายละเอียดของเสียง ถูกเก็บมาเป็นอย่างดี มีซ้าย ขวา บน ล่าง ที่ชัดเจน บอกถึงระยะการเข้าถึงตัวผู้เล่นของเหล่าผู้คลั่งลัทธิ เอาง่ายๆ ในฉากไร่ข้าวโพดในเดโม ทำออกมาได้ดีเกินคาด และยังมีมิติของต้นข้าวโพดแต่ละต้นด้วย ฟิลลิ่งเหมือนดูหนังเป๊ะ!!

 

4.ดำดิ่งกับเรื่องราวที่สามารถกลับมาอ่าน Text ย้อนหลังได้

ในภาคนี้ กล้องวิดิโอของผู้เล่น เป็นไอเทมที่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะนอกจากจะใช้ในการเดินทางใที่มืดสนิทแล้ว ยังมีคุณสมบัติของไมโครโฟน และเส้นกราฟแสดงระดับเสียงบนหน้าจอเมื่อใช้งาน ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจจับระยะของศัตรู ยิ่งกราฟชัด แปลว่ายิ่งใกล้ ก็เพิ่มความกดดันเข้าไปอีกขั้น 

 

และเหมือนกับภาคแรก ตัวเกมจะมีเอกสารบางอย่าง  ที่สำคัญตัวเอกในภาคนี้ ก็สามารถจดบันทึก เก็บข้อมูลเอกสารต่างๆลงในโน้ตของเขา เพื่อให้ผู้เล่นสามารถหยิบมาอ่านได้ในภายหลัง ส่วนภาพที่บันทึกจะถูกเก็บไว้ในกล้องดิจิตอลอีกด้วย ทำให้ผู้เล่นที่อาจจะไม่เข้าใจเนื้อเรื่อง หรือตกหล่นข้อมูลของตัวเกม ก็สามารถย้อนมาอ่านได้ ซึ่งเอกสารบางอย่างต้องเก็บให้ครบชิ้นส่วน ถึงจะได้เนื้อหาที่สมบูรณ์อีกด้วย

 

5.ฉากหลัง สภาพแวดล้อมต่างๆที่ต่างจากภาคแรก

เมื่อฉากหลังเปลี่ยนจากโรงพยาบาลบ้า มาเป็นหมู่บ้านลัทธิประหลาดๆแทน แน่นอนว่าสเกลการเล่น “วิ่งไล่จับ” ก็จะมีตัวเลือกที่มากขึ้น เพราะมีฉากที่กว้างกว่า  ทำให้ลูกเล่นการซ่อนต่างๆที่น่าสนใจมากขึ้น ทั้งการมุดลัง มุดโอ่ง ซ่อนต้วในกองฟาง ซากศพ ดำน้ำ หรือการสร้างเสียงเพื่อเบนความสนใจ (อันนี้ไม่ชัวร์นะ แต่ในเอกสารทีมพัฒนาระบุถึงฟีเจอร์นี้ด้วย) ซึ่งทำให้เกมมีความท้าทายในส่วนของการลอบเร้นเพิ่มขึ้นด้วย

 

 

OutlastUntitled-1

6.ใช้สเปค PC ระดับกลางก็เล่นได้ 

เกมนี้ถ้าดูจากสเปคด้านบน ก็จะเห็นว่า เป็นเกมที่ใช้ระบบขั้นต่ำอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เหมือนจะหนักไปทางพื้นที่จัดเก็บซะมากกว่า ด้วยงานภาพที่สร้างจากระบบ Unreal Engine 4 ทำให้งานภาพ ระบบต่างๆ ถูก Optimize (ปรับแต่ง) มาเพื่อให้คอมสเปคกลางๆ ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีล่าสุด สามารถเล่นได้โดยไม่ทรมานเครื่องมากนัก

 

 

 

7.เวอร์ชั่นPS4 / XboxOne ที่มัดแพ็กขายรวมภาคแรก + DLC และภาค 2 จ่ายทีเดียวจบ!!

ในส่วนของคอนโซลอาจจะไม่ต้องประสปปัญหาการแต่งเครื่องเพื่อเล่นเกมนี้  แต่งานภาพอาจจะดรอปจาก PC เปิดสุด All Max แต่สิ่งที่คุณจะได้รับคือตัวเกม ภาคแรก + ภาค DLC และ ภาค 2 ในชื่อชุด Trinity Pack มาให้ได้เล่น ซึ่งเป็นการให้ผู้เล่นฝั่งคอนโซลได้เล่นภาคแรกเพื่อย้อนความ หรือภาคเสริมเพื่อเก็บเนื้อเรื่องที่ผ่านๆมาก เพราะเนื้อหาทั้งสามภาค เป็นจักรวาลเดียวกัน เพียงแต่ต่างสถานที่ และเวลาเท่านั้น นับเป็นการกระโดดเข้าสู่สารบบคอนโซลอย่างจริงจังมากขึ้น 

 

 

8.เหล่าแคสเตอร์ชื่อดังพร้อมใจกันเล่นแน่นอน

แน่นอนว่า เกมสยองขวัญเอาตัวรอดขนานแท้ จัดเป็นอีกประเภทเกมที่เหล่านักพากย์เกมชื่อดังทั่วโลกต้องผ่านการเล่นลง Youtube หรือแม้แต่ในไทยเองก็ตาม เอาเป็นว่าใครไม่อยากเล่นไปกลัวไป ก็ติดตามเหล่าแคสเตอร์ชื่อดังในไทยได้เลย ทั้ง แก๊งที่ สังกัด OSCaster หรือไม่ก็ระดับเทพในไทยอย่าง HRK , BRF หรือระดับโลกอย่าง Pewdiepie (รายนี้ไม่แน่ใจนะ) ที่จะพาผู้ที่ไม่มีเวลา ไม่กล้าเล่น ก็สามารถสนุกไปด้วยกันได้

 

 

 

แอดมิน Ak47