Saw ถือเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่มีภาคต่อมาถึง 7 ภาคด้วยกัน เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ James Wan ร่วมกับ Leigh Whannell ซึ่งสามารถสร้างความแปลกใหม่ได้อย่างน่าประหลาดใจ จนทำให้สร้างรายได้ไปมากกว่า 1000 ล้านเหรียญทั่วโลกเลยทีเดียว และในปีนี้ก็จะมี “ภาคใหม่” ของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ได้ดูกันอีกด้วย!!
บทความนี้จึงของเสนอ 10 เรื่องน่ารู้ของ SAW ที่บางคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้… ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น? มาดูกันเลย!!
1. Saw เป็นภาพยนตร์สั้นมาก่อน
โดยแรกเริ่มนั้น… ภาพยนตร์เรื่อง Saw เป็นภาพยนตร์สั้นในปี 2001 ที่กำกับโดย James Wan และ Leigh Whannell พวกเขาได้ทำหนังสั้นและดำเนินเรื่องเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ได้ประสบความสำเร็จจนได้มีโอกาสสร้างเป็นภาพยนตร์เต็มตัวโดยทาง Hollywood ในเวลาต่อมา
2. Saw เป็นภาพยนตร์ที่ใช้งบน้อยในการสร้าง
ในแรกเริ่มของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มีทุน 1.2 ล้านเหรียญเท่านั้น ด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก ทำให้ James Wanได้ใช้แนวคิดในการถ่ายทำแบบภาพยนตร์เรื่อง Blair Witch Project เมื่อปี 1999 ที่ถ่ายทำด้วยทุนแบบจำกัด ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและการเล่าเรื่องอย่างไหร่ถึงจะน่าสนใจ จึงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
3. Saw ใช้เวลาสร้างเพียงแค่ 18 วันเท่านั้น
ภาพยนตร์เรื่อง Saw ภาคแรกใช้เวลาในการถ่ายทำเพียงแค่ 18 วันเท่านั้น ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าภาพยนตร์ระดับHollywoodจะสามารถในการถ่ายทำได้ในเวลาอันสั้น โดยในปกติแล้วจะมีเทคนิคพิเศษมากมายและวุ่นวาย แต่เรื่องนี้กลับลดทอนเวลาได้อย่างรวดเร็ว
4. Saw ใช้มุมกล้องของกล้องวงจรปิด
ฉากการเอาชีวิตรอดของเหยื่อจากเกมแห่งความตายในเรื่องนี้ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าทางผู้สร้างได้ใช้มุมมองของกล้องรักษาความปลอดภัยเป็นหลัก
5. ในแนวความคิดดั้งเดิมสำหรับ ‘SAW’ ไม่มี The Billy puppet
ในตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้เดิมทีไม่ได้มีตุ๊กตาบิลลี่ในบท ซึ่งเจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นของ James Wan ซึ่งเขาได้สร้างมันด้วยตัวเอง ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำการเดบิวท์ จนมันได้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
6. หนึ่งในนักแสดงในเรื่องเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้
Leigh Whannell ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ได้รับบทเป็น Adam Stanheight ปรากฏตัวในภาพยนตร์สั้น, ภาคแรก, ภาค 2 และภาค 3 ซึ่งเขาเป็นเพื่อนของJames Wanด้วยเช่นกัน และทั้งคู่ยังได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง Insidious โดยเขารับหน้าที่ในการเขียนบทเช่นกัน
7. ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีเวลาฝึกซ้อม?
ในภาคแรกได้ถ่ายทำกันในคลังสินค้า เนื่องด้วยข้อจำกัดที่มาจากมีงบประมาณรวมไปถึงเวลาในการถ่ายทำ ทำให้ไม่มีเวลาที่มากพอในการให้เหล่านักแสดงฝึกซ้อมบทหนัง (นักแสดงในเรื่องเป็นการขอยืมตัวมาแสดง) แถมบทหนังก็ไม่ได้มีความสมบูรณ์ ต้องมีการคิดบทแสดงกันสดๆ เลยทีเดียว แต่ต้องยอมรับว่าทีมงานสามารถผ่านข้อจำกัดเหล่านี้มาได้
8. ที่มาของตัวละคร Jigsaw มาจากอาการปวดหัว…
แนวคิดของตัวละครอย่าง จอร์น คราเมอร์ หรือ Jigsaw ที่ป่วยเป็นมะเร็งนั้น สืบเนื่องมาจาก Leigh Whannell ผู้เขียนบทที่มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงหรือไมเกรน ซึ่งในตอนแรกเขาเชื่อว่าตัวเองอาจจะมีเนื้องอกในสมอง จึงได้ไปทำการ MRI ที่โรงพยาบาล ตรงนี้เองที่เขาเริ่มจินตนาการว่าถ้าชีวิตของเขามีเวลาจำกัด และอยู่ได้อีกไม่นาน เขาควรจะต้องทำอย่างไรดี? ทำให้เขาได้ไอเดียในการสร้างแบ็คกราวด์ให้กับ Jigsaw ที่สร้างเกมแห่งความตายในการเอาตัวรอดของเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อได้รู้ว่า ชีวิตนั้นแสนจะมีค่ามากแค่ไหนนั่นเอง…
9. X-JAPAN เป็นวงที่ร้องเพลงปิดให้กับ Saw IV
สำหรับเพลงปิด End Credit ในภาค 4 นั้น ได้วงร็อคระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง X-JAPAN มาเล่นให้ในชื่อเพลง I.V.
10. จาก Saw: Legacy เป็น Jigsaw
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Saw: Legacy ที่เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ของ Sawในลำดับที่ 8 ได้ใช้ชื่อภาคอย่างเป็นทางการว่า Jigsawโดยนักแสดงนำอย่าง Tobin Bell ผู้รับบทเป็น จอร์น คราเมอร์ ได้กลับมาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง
================================
Jigsaw มีกำหนดฉายวันที่ 27 ตุลาคม 2017 นี้
@Save สาย Pay
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]





































