
ถือเป็นอีกหนึ่งปีศาจที่น่าจดจำบนโลกภาพยนตร์แห่งยุค 2000 สำหรับเจ้าจอมเขมือบนามว่า Jeepers Creepers ปีศาจจากขุมนรกที่ชื่นชอบโฉบกระชากหัวเหยื่อโดยเฉพาะเหยื่อที่ดวงซวยและมีกลิ่นของความกลัว เปรียบเหมือนเป้าชั้นดีที่จะออกไล่ล่าเป็นเวลา 23 วัน ก่อนจะจำศีลไปอีก 23ปี วนเวียนเช่นนี้เรื่อยมา ซึ่งมันกลายเป็นหนึ่งในตัวละครปีศาจที่น่าจดจำอีกตัวบนโลกบันเทิง เพื่อต้อนรับการกลับมาใน Jeepers Creepers Reborn เราจะพาไปรู้จักปีศาจตัวนี้ให้มากขึ้นผ่าน 10 เรื่องราวน่าสนใจของจอมโฉบกระฉากหัวกันครับ
จุดเริ่มต้นมาจากเพลงรัก!?
จุดเริ่มต้นของหนัง Jeepers Creepers ทางผู้กำกับอย่าง วิคเตอร์ ซัลว่า เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ต้นกำเนิดของหนังจอมโฉบกระฉากหัวนั้นมาจากท่อนหนึ่งของเพลงแจ็สชื่อ Jeepers Creepers ที่เคยมีศิลปินดังถ่ายทอดบทเพลง อย่าง หลุยส์ อาร์มสตรอง และ วง The Four Modernaires ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า
“Jeepers Creepers, where’d ya get those peepers? … Jeepers Creepers, where’d ya get those eyes?”
ซึ่งบทเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักแต่ได้ลองเปลี่ยนความหมายให้ออกมาเป็นแนวสยองขวัญ ส่วนชื่อหนังแต่เดิมซัลว่าเขียนบทใช้ชื่อว่า Here comes the Boogeyman และอยากให้ แลนซ์ เฮริคเซ่น นักแสดงจาก Alien 2 และ The Terminator มารับบท ก่อนที่ชื่อหนังจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Jeepers Creepers ในเวลาต่อมา
นิยามของจอมโฉบกระชากหัว
วิคเตอร์ ซัลว่า ผู้กำกับและมือเขียนบทหนังชุดนี้ให้นิยามเจ้า Jeepers Creepers ว่า มันอยู่เนิ่นนาน มันอยู่เพียงที่เดียว และ เป็นไปได้ว่ามันอาจเคยเป็นมนุษย์มาก่อน มันคือปีศาจโบราณจากขุมนรกที่มีอายุมากว่า 2000ปี โดยจะออกล่า 23 วันและจำศีลเป็นเวลา 23ปี ชื่นชอบออกล่ามนุษย์โดยเฉพาะคนที่มีความกลัวและกัดกินหรือฉีกร่างอวัยวะของเหยื่อเพื่อมาทดแทนส่วนที่เสียหาย หรือนำชิ้นส่วนอวัยวะมาทำงานศิลปะ
เจ้า Jeepers Creepers มีความสามารถที่น่ากลัว คือสามารถใช้ชิตปะปนกับผู้คนโดยปกติ จะสวมเสื้อคลุมกับหมวกใบเก่า แถมยังสามารถขับรถได้ด้วยโดยมียานพาหนะเป็นรถบรรทุกเก่าๆ คันหนึ่ง ที่มักจะใช้ออกไล่ล่าเหยื่อ แต่ถ้าถึงเวลากลางคืนมันจะใช้ปีกบินไล่ล่าและโจมตีเหยื่อด้วยความเร็วสูง แถมยังสามารถใช้อาวุธในการล่าเหยื่อ อาทิ ขวานโบราณ, ดาวกระจาย, สลิง ซึ่งอาวุธส่วนใหญ่ล้วนใช้ชิ้นส่วนจากอวัยวะเหยื่อที่ไปล่ามา
สำหรับเจ้าของบทจอมโฉบกระชากหัวอย่าง Jeepers Creepers นั้นได้นักแสดงที่ชื่อ โจนาธาน เบ็ค ซึ่งเขามีความสูงถึง 6 ฟุต 3 นิ้ว ซึ่งเข้ามาออดิชั่นบทนี้และคว้าบทแบบลอยลำด้วยการแสดงที่ทำเอาทีมงานหลายคนหวาดกลัวไปตามๆกัน จนคว้าบทปีศาจในที่สุด มันจึงเป็นบทบาทที่สร้างชื่อให้กับเขาในเวลาต่อมา ลืมบอกไปว่าในภาคแรกเขายังรับบทเป็นตำรวจที่ปรากฎในตอนท้ายเรื่องด้วย
ฉากทิ้งศพมีที่มาจากเหตุการณ์จริง
ฉากจากภาคแรกของ Jeepers Creepers ที่สองพี่น้องตัวเอกอย่าง ทริซและแดร์รี่พบว่าเจ้าปีศาจจอมโฉบกำลังทิ้งศพจำนวนมากที่โบสถ์ร้างแห่งหนึ่ง ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงสุดสะเทือนขวัญของ เดนนิส ดูเพิร์ต ที่ลงมือฆ่าภรรยาของตัวเอง ก่อนที่ศพจะถูกพบโดยเพื่อนบ้าน ซึ่งเรื่องราวของเขาหลายคนสันนิษฐานว่า อาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้กับหนังชุดนี้อีกด้วย
ฉากรถบัสในภาค 2 ที่เกือบจะถูกตัด
เรื่องในภาคสองคราวนี้ เจ้าจอมบินโฉบของเราจะต้องล่าเหยื่อที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นทีมกีฬา ซึ่งหนึ่งในจากของภาคนี้คือการปรากฎตัวแบบคาดไม่ถึงของมันจนเหล่าทีมกีฬาถึงกับสะดุ้งก่อนที่ถูกความกลัวครอบงำจากสายตาชวนขนลุก ซึ่งแต่เดิมฉากนี้ผู้กำกับจะตัดออกจากหนังเพราะมันออกมาดูตลกมากๆ แต่ท้ายสุดก็ยังคงฉากนี้ไว้จนทำให้เราได้เห็นความกลัวปนความเกเรของปีศาจตันนี้เป็นอย่างดี (ฮ่า!)
ยานพาหนะคู่ใจ
นอกจากอาวุธแล้วเจ้า Jeepers Creepers มียานพาหนะคู่ใจเป็นรถบรรทุก อย่าง Chevy Coe Truck 1941 ที่อยู่ในสภาพเก่าๆ พร้อมทะเบียน BEATNGU แต่ยังคงสามารถใช้ขับไล่ล่าเหยื่อได้ไม่ติดขัด ปัจจุบันมีนักสะสมรถเก่า ได้ครอบครองและจะเอาไว้ใช้ถ่ายทำเมื่อทีมงานต้องการ
ดาวกระจาย
หนึ่งในอาวุธที่น่าสนใจของเจ้า Jeepers Creepers คงต้องนึกถึงดาวกระจายที่เอาไว้โมตีเหยื่อเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าอาวุธทุกชิ้น จะทำมาจากอวัยวะของเหยื่อที่ไปล่ามา ซึ่งดาวกระจายอันนี้ทำมาจาก ผิวหนังของแดรี่ เหยื่อจากภาคแรกนั่นเอง

ภาค 3 ที่กินเวลานานที่สุดของหนังชุดนี้
Jeepers Creepers 3 เป็นภาคที่เล่าเหตุการณ์ในช่วงระหว่างภาค 1-2 และเป็นหนึ่งในภาคที่ใช้เวลาเตรียมงานนานที่สุด 14ปี ก่อนจะได้ฉายในปี 2017 แต่ท้ายที่สุดก็ทำรายได้ไม่ตรงเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการฉายแบบจำกัดโรงรวมถึงปัญหาของ วิคเตอร์ ซัลว่า ที่มีคดีความติดตัวเมื่อปี1998 ทำให้มีหลายคนต่อต้านผลงานของเขาเป็นอย่างมาก

Jeepers Creepers Reborn คือการยกเครื่องใหม่ของหนังชุดนี้
และภาคล่าสุดที่จะมาถึงนี้จะใช้ชื่อว่า Jeepers Creepers Reborn ซึ่งจะเป็นการยกเครื่องหรือเปิดตำนานบทใหม่ของจอมบินโฉม โดยจะได้ผู้กำกับชาวฟินแลนด์นามว่า ทิโม วูโอเรนโซลา กับเรื่องราวของคู่รักที่มาเที่ยวเมืองหลุยเซียน่าเพื่อมางานเทศกาลหนังสยองขวัญแล้วต้องเจอกับเจ้าบินโฉบอาละวาดที่ตื่นจากจำศีล 25ปี และออกไล่ล่า เป็นเวลา 25 วัน
ทั้งหมดนี้คือ 10 เรื่องราวน่าสนใจของ Jeepers Creepers ที่นำมาฝากก่อนไปสนุกใน Jeepers Creepers Reborn ที่จะมาในปลายปีนี้
@P.PETTY
อมูลอ้างอิง
- https://www.majorcineplex.com/news/jc3-between-1-2
- https://jediyuth.com/2022/07/20/jeepers-creepers-reborn-trailer/
- https://movie.mthai.com/movie-news/224626.html
- https://en.wikipedia.org/wiki/Jeepers_Creepers_(film_series)
- นิตยสาร Starpics Special Book of Horror
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]

































