ถือเป็นหนึ่งในหนังที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้อีกเรื่องสำหรับ Taklee Genesis. ผลงานไซไฟเรื่องล่าสุดที่เข้าโรงฉายไปสดๆร้อนๆ นับเป็นอีกความพยายามอีกครั้งหนึ่งที่วงการหนังบ้านเราได้มีหนังไซไฟแปลกใหม่ออกมาให้ผู้ชมได้ดูกัน ซึ่งใครอยากดูไปติดตามกันที่โรงภาพยนตร์ครับ ไหนๆพูดถึงเรื่องราวของหนังไซไฟรสชาติไทย วันนี้เราจะย้อนไปดู 10 หนังไซไฟของไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันกันครับ
10.) สุรีรัตน์ล่องหน (2504)
นี่คือผลงานที่ถูกบันทึกว่า คือภาพยนตร์ไซไฟยุคแรกๆของไทย สร้างจากบทประพันธ์ของ สมสุข กัลย์จาฤก โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง The Invisible Man นิยายวิทยาศาสตร์ของ เอช จี เวลส์ นักประพันธ์ชาวอังกฤษ เรื่องราวของ สุรีรัตน์ สาวสวยผู้อาภัพที่ต้องทนอาศัยกับญาติฝ่ายพ่อที่ไม่ชอบหน้าเธอ ยิ่งเมื่อเธอได้มรดกเครื่องเพชรจากคุณย่า จึงเกิดแผนลวงเธอไปฆ่าทิ้งยังตึกเก่าอันเป็นที่พักของดอกเตอร์สติเฟื่อง เป็นต้นเหตุให้เธอกลายเป็นมนุษย์ล่องหน เมื่อบังเอิญดื่มน้ำยาล่องหนของดอกเตอร์เข้า จนนำไปสู่เรื่องวุ่นวาย ทั้งมรดกเจ้ากรรม ญาติผู้ชิงชัง และความรักกับหนุ่มหล่อผู้รอเธออยู่
9.) สามเกลอเจอล่องหน (2509)
อีกหนึ่งผลงานไซไฟที่สร้างจากงานเขียนชื่อดังของ ป.อินทรปาลิต นพแสดงโดยพรเอกแห่งยุคอย่าง มิตร ชัยบัญชา ว่าด้วยเรื่องราวของสามเกลอ พล นิกร และ กิมหงวน ต้องต่อกรกับสายลับล่องหน ซึ่งฝ่ายผู้ก่อการร้ายส่งเข้ามาสังหารดร.ดิเรกนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของไทย แม้จะสามารถหยุดยั้งแผนร้ายนี้ได้ แต่ปัญหากลับเกิดขึ้น เมื่อสามเกลอพบว่าสายลับล่องหนเป็นสาวสวยที่ทำให้พวกเขาต้องหวั่นไหว
8.)ยอดมนุษย์คอมพิวเตอร์ (2520)
ผลงานไซไฟจากฝีมือของ สมโพธิ แสงเดือนฉาย และกำกับโดย สันต์ เปสตันยี ที่ได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์สุดฮิตของทางฝั่งอเมริกาอย่าง The Six Million Dollar Man มาผสานกับความเป็นนิทานพื้นบ้านของไทย ว่าด้วยเรื่องราวของตัวเอกที่ถูกนักวิทยาศาสตร์จับทดลองดัดแปลงกลายเป็นยอดมนุษย์ที่มีพลังมหาศาล แถมยังวิ่งเร็วกกว่ารถไฟได้
7.) นักเลงคอมพิวเตอร์ (2525)

นี่คือผลงานแนวไซไฟที่เป็นขวัญใจของเด็กๆในยุคนั้นไม่แพ้เหล่าอีโร่จากญี่ปุ่น ผลงานที่ได้สามพระเอกดัง อย่าง สมบัติ เมทะนี, สรพงษ์ ชาตรี และ ทูน หิรัญทรัพย์ ว่าด้วยเรื่องราวของหุนยนต์อัจฉริยะยะของมาเฟียที่เอาไว้จัดการกับศัตรู ซึ่งเป็นงานไซไฟทุนสูงนั่นเพราะว่า หุ่นยนต์ที่ชื่อ K3 หุนที่เป็นดังตัวละครเด่นของเรื่อง ซึ่งใช้ทุนสร้างสูงถึงมูลค่าตัวเลข 7 หลัก โดยสร้างขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น
6.) สมศรี 422R (2535)
ผลงานแนวไซไฟตลกที่กลายเป็นผลงานแห่งความทรงจำของแฟนหนังไทยจนทุกวันนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของ สมศรี 422R หุ่นยนต์สาวสวยที่เป็นฝีมือการประดิษฐ์ของนักวิทยาศาสตร์ ที่หวังเอาไวลดภาระหน้าที่ของครับครัวซึ่งหุ่นยนต์สมศรีก็สามารถทำได้ทุกสิ่ง ซึ่งตัวหนังฮิตมากจนมีตามมาอีกสองภาค ซึ่งภาคที่สามได้มีการเปิดตัวหุ่นที่ชื่อ สมพร422R ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้หุ่นสมศรีเลยทีเดียว
5.) ขอชื่อสุธี สามสี่ชาติ (2532)

หนังที่สร้างจากผลงานตีพิมพ์ของ ประภาส ชลศรานนท์ ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักศิษย์สะดือ ในปี พ.ศ. 2530 เป็นหนังสือประเภทอ่านเล่น สนุก ขบขัน ต่อมามีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยหนังเล่าเรื่องราวสี่เรื่องที่มีตัวละครชื่อ สุธี ซึ่งในเรื่องที่สี่จะมาในโทนไซไฟ ว่าด้วยเรื่องราวของ หัวหน้าประจำยาน ขณะที่ยานลงจอดดาวหิริโอตัปปะ ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะดาวมีแต่ทรายทั้งดวง สักพักสัญญาณรายงานจากโลกมนุษย์ว่าหลายเมืองโดนโจมตีและ แฟนของสุธีก็ตายในสนามรบด้วย สุธีเสียใจมากสั่งเดินเครื่องอย่างแรง จนทำให้พลังงานเชื้อเพลิงรั่ว ยานอวกาศพุ่งชนดวงอาทิตย์ ตายกันหมด
4.) มาห์ (2534)

อีกหนึ่งงานไซไฟ เป็นเรื่องราวของกลุ่มนักศึกษาที่ไปเที่ยวป่าแล้วเจอไข่ประหลาดอยู่ในถ้ำ จึงได้เอาออกมา โดยหารู้ไม่ว่าเป็นไข่ของสัตว์ประหลาดต่างดาว มันได้ออกตามล่ามาทวงไข่คืน นับเป็นผลงานทะเยอทะยาน แต่ด้วยที่เทคโนโลยีในเวลานั้นยังไม่ตอบโจทย์ ทำให้ผลงานเลยไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะมีการบูรณะฟิลม์นำกลับมาฉายอีกครั้งเมื่อปี 2020
3.) โคลนนิ่ง คนก็อปปี้คน (2542)

เรื่องราวของโปรแกรมเมอร์ที่มุ่งมั่น ทำแต่งานโดยไม่สนใจเหตุการณ์รอบตัว ก็กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อการทดลองครั้งนี้…”B-7″ ร่างโคลนนิ่งของนิวัติเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก และพยายามเข้ามาแทนที่นิวัติ แย่งชิงความเป็น “คน” เพื่อความอยู่รอดในโลกมนุษย์ การต่อสู้ระหว่างคน 2 คน จึงเกิดขึ้นโดยมีสิ่งเดิมพันคือ ชีวิต…ครอบครัว และความรัก
เป็นอีกหนึ่งผลงานไซไฟที่หวังจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
2.) ปักษาวายุ (2547)

ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟทริลเลอร์ ที่นับเป็นเรื่องแรกของไทยที่ถ่ายทำในระบบดิจิตอล เหมือนกับภาพยนตร์ระดับโลกหลาย ๆ เรื่อง และจัดเป็นภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์เรื่องแรกของไทย ที่สร้างตัวสัตว์ประหลาด คือ ครุฑ จากวรรณคดีของไทยหลายเรื่อง หนังเล่าถึงสิ่งมีชีวิต ที่ฟื้นจากใต้พิภพใจกลางกรุงเทพก่อนจะออกไล่ล่าทุกคน
1.) กาเหว่าที่บางเพลง (2538)

นี่คือผลงานไซไฟที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดและขึ้นหิ้งในความคลาสสิคไปแล้ว กับผลงานหนังที่สร้างจากผลงานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นนักปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทย แล้วยังเป็นผลงานภาพยนตร์ไทยที่ทำแหวกตลาดหนังไทยในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ เรื่องราวเกิดขึ้นในหมู่บ้านบางเพลง ที่ถูกอำนาจลึกลับจากนอกโลกครอบงำในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง เกิดพระจันทร์ทรงกลดขึ้นเหนือหมู่บ้าน จากนั้นผู้หญิงทั้งหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นเด็ก หญิงสาว หญิงชรา หรือแม่ชี ต่างก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาพร้อมกันอย่างหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เมื่อทารกคลอดออกมา เด็กทั้งหมดที่เกิดมามีอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ คล้ายกับมนุษย์ต่างดาว
ทั้งหมดนี้คือ 10หนัง ไซไฟของไทยที่นำมาฝากกัน ใครมีหนังนอกเหนือจากนี้ก็แชร์คอมเม้นต์กันได้ครับ
@P.PETTY
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]































