กำลังจะหมดปี 2025 แล้ว จะว่าไปมีหลายๆเกมที่แอดมินนั่งเล่นแล้วชอบมาก เลยขอหยิบมาบอกกล่าวกันซักหน่อย เลยเป็นที่มาของ 10 เกมในดวงใจของ Metalbridges ประจำปี 2025 จะมีเกมอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
10.Deadzone: Rogue

เกมที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ถ้าคุณชอบแนว Roguelike สุ่มสกิล และไม่เมา Motion Sickness เกมนี้เป็นเกมที่ตอบโจทย์นะครับ
Deadzone: Rogue เกมอินดี้ที่สารภาพตามตรงว่า “ไม่คิดจะเล่น” ด้วยบรรยากาศ ด้วยธีมที่โคตรเกร่อในตลาดแนว FPS ที่ไม่ได้มีอะไรใหม่… แต่เมื่อได้ลองเดโม่บน PS5 แล้ว แอดฯรูดซื้อเกมนี้แบบไม่ลังเลเลยครับ! คือส่วนตัวค่อนข้างชอบเกมแนวๆ Roguelite ในโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว (แนวๆ Archero ลุยด่าน จบ 1ห้องได้ Perk Skill อะไรแนวๆนั้น) แล้วเกมนี้ เมื่อเล่น ฟิลลิ่งมาเต็ม กับความเป็น DOOM ที่เน้นความเร็วในการออกแอคชั่น ผสมกับระบบสกิล และพื้นที่ รวมไปถึงศัตรูที่หลากหลาย ไปจนถึงการดวลบอสที่โคตรตึงมือ ในตอนที่ตัวละครยังเลเวลน้อยๆ และมันส์มากขึ้นเมื่อตัวละครเก่งแล้ว จากผู้ถูกกระทำ กลายเป็นผู้ไล่ล่ากันเลย!
ด้วยราคา 300นิดๆบน PS5 และรองรับระบบออนไลน์ด้วย ทำให้เกมนี้เล่นได้เพลินๆ มีติดเครื่องไว้ก็ดีครับ
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
9. SYNDUALITY: Echo of Ada

จะว่าเกมคว่ำของทาง Bandai Namco ก็คงไม่ผิดนัก แต่ยอมรับว่าเป็นเกมแนวExtraction Shooting (ยิง เก็บของ แล้วถอนตัวกลับฐาน) ที่เล่นแล้วเหนื่อย ตึงมือเหมือนกัน ใครที่รับไม่ได้กับความเสี่ยง การเล่นที่ไม่เป็นมิตรกับมือใหม่ การต่อสู้ที่พลาด 1 ครั้ง = ที่ทำมาคือหมดสิ้น และเข้าลูปใหม่ที่อาจจะแย่กว่า บอกเลยว่า …หนีไป!
แต่ถ้าใครที่ชอบความลุ้นระทึก ทุกนาทีมีความเสี่ยง สถานการ์ณสุดตึง ที่เอาแน่นอนไม่ได้ และต้องการเกมที่มีคุณค่าในการเล่นซ้ำสูง รับได้กับความผิดพลาดและสูญเสียทุกสิ่ง เกมนี้คือทางของคุณ !
ถ้าเอาแบบไวๆ เข้าใจง่ายๆบ้านๆเลย มันคือ “Escape From Tarkov But อนิเมะหุ่นยนต์+สาวโมเอะ” นั่นละครับ
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
8. WARRIORS: Abyss

อีกเกมแนว Roguelike สุ่มสกิลครับ (55+บอกแล้วว่าชอบแนวนี้เป็นการส่วนตัว) โดยเกมนี้มาในธีมสามก๊ก+ซามูไร กับการเอาตัวละครของ Koei Tecmo มายำรวมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งเกมแอคชั่นที่ทำเอามันส์จริงๆ ไม่มีสาระสำคัญใดๆมากไปกว่านี้ ทั้งในแง่เนื้อหา หรือเกมเพลย์ แต่ยอมรับว่าเป็นการเอาไอเดียจากเกมแนวๆ Roguelike Action ในตลาด มาใส่เมคานิคเกมเพลย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์มุโซได้ถึง และมันส์มือมากๆ…
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
7. Monster Hunter Wilds

เรียกว่าเป็นเกมที่สร้างปรากฎการณ์ให้เกมเมอร์ไทย พร้อมใจกันหยุดงานในวันที่เกมออก (ฮ่าๆ) เพราะนับจากภาค Wolds ที่ทำออกมาตราตรึงใจ มีอะไรให้ทำมากมาย และถูกนับเป็นภาคหลักที่ยิ่งใหญ่แล้ว ก็มีภาค Wilds นี้ที่สามารถเข้ามาเป็น “ภาคหลัก” ที่ทุกคนพร้อมใจกันยกให้ (สงสาร Sunbreak เลย)
ทั้งงานภาพที่สวยงามอลังการ ระะบบนิเวศน์ที่ดูน่าเชื่อถือ เมคานิคเกมเพลย์ที่แม้จะยังไม่หนีจากภาคก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ เพราะต้องยอมรับว่า บรรทัดฐานที่ภาค Worlds ทำไว้ สูงมากๆ และนี่คือการต่อยอด ปรับปรุงให้เข้ายุคสมัยมากขึ้น ลดความวุ่นวายลง และเพิ่ม “หัวใจ” ของเกมเพลย์ให้มากขึ้น
ฟังดูอาจจะเป็นคำชมเยอะ แต่เกมนี้มีปัญหาอยู่ที่เนื้อเรื่อง และ Performance ไม่น้อย(ในช่วงวันเกมออกใหม่ๆ ตอนนี้แก้แล้ว…มั้ง?) จะว่าไงดีล่ะ มันก็เป็นเกมที่ดีมากๆนะครับ แต่ยอมรับว่าภาคนี้มันฟาร์มกันแปปๆ ของครบทำชุดทำอาวุธแล้ว ส่วนตัวรู้สึกว่าเบื่อเร็วไปหน่อย
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
6.Like a Dragon: Pirate Yakuza in Hawaii

อันนี้ต้องบอกว่า ไม่คาดหวัง แต่ดันสนุกเฉย เพราะปี 2024 แอดฯได้เล่นภาคหลักที่อิจิบัง คาสึกะ เป็นตัวเอก แล้วเนื้อเรื่องหลักค่อนข้งจะเครียด แถมเป็นการสั่งลาบท คิริว พระเอกซีรีส์ตลอดกาลด้วย เลยคิดว่าน่าจะเล่นเกมอื่นๆที่เล่าในมุมตัวละครอื่นไม่เท่าฝั่งนั้นแล้ว…กลายเป็นว่าพอได้เล่นจริง ติดใจเฉย
รูปแบบเกมกลับไปสู่แอคชั่นลุยแหลกบ้าพลัง พร้อมเควสท์เสริมสุดติงต๊องอันเป็นสไตล์ ถึงแม้หลายๆอย่างจะยกเอาของเกมภาคหลักมาใช้ในเกมเสริมนี้ แต่ก็ไม่ได้ดูแย่เลย กลับกัน มันกลับขยายความเรื่องราวการผจญภัยของ ลุง มาจิมะ โกโร่ ที่ยังคงความหล่อเท่ บ้าบอติงต๊องได้แบบสุดกราฟมากๆ และเป็นเกมล่องเรือโจรสลัดที่ดีมากๆในรอบหลายปี นับตั้งแต่ AC Blackflag ออกมาเลยด้วยซ้ำ 555+
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
5. Metal Gear Solid Delta: Snake Eater

อันนี้ถือว่าเป็นการระลึกวัยละอ่อนสมัยเพทู กับการรีเมคงานภาพของ Metal Gear Solid 3 แน่นอนว่าเกมอาจจะดูตกยุค พร้อมการเล่าเรื่องแสนจะเชย แต่นี่คือความคลาสสิคที่ชาว PS2 ได้เล่นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
มันคือการรีเมคแบบ 1: 1 ที่ขัดเกลาใหม่ให้ร่วมสมัย แม้จะผ่านมาเกิน20ปี แต่ Metal Gear Solid Delta: Snake Eater ก็ยังเลือก “แนวทางของต้นฉบับดั้งเดิม” เป็นแนวทางหลัก …
ยังมีทั้งบทสนทนาเฉียบคมว่าด้วยสงครามเย็น ผสานกับภาพฟุตเทจของประวัติศาสตร์จำลอง และคาแร็กเตอร์ที่หน้าตาดูจริงจัง แต่ก็โคตรเบียว โคตรแอ็กอ้าด ตามแบบของซีรีส์ Metal Gear (โดยเฉพาะขวัญใจแอดมิน Ocelot ที่ท่าควงปืนขี้โม้ บวกแอคชั่นเบียวๆ ยังคงสะกดสายตา แม้บางโมเมนต์เมื่อนำมาทำเป็นกราฟิกแบบสมจริงยุคปัจจุบัน จะทวีความฮาติงตีองมากขึ้นก็ตามครับ)
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
4.Digimon Story: Time Stranger

อันนี้ถูกใจเด็กยุค ช่อง 9 การ์ตูนมากๆ ดิจิม่อนตัวหลัก ตัวรอง ตัวแปลกๆ เกมนี้สรรหายัดมาให้เราอีโวร่างเล่นไปๆมาๆ หาตัวแปลกๆมาเข้าทีม ลุยเนื้อเรื่องที่โคตรสนุก ชวนดิ่งดราม่าในหลายๆพาร์ท ยันจบเกม
ระบบการต่อสู้หลักๆ ยังคงเป็น Turn-based JRPG ที่คุ้นเคย แต่เต็มไปด้วยความลึกเชิงกลยุทธ์ “การสลับดิจิมอนเข้า-ออกจากการต่อสู้โดยไม่เสียเทิร์น” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา และยังมีระบบใหม่ๆ อย่าง Cross Arts ที่เป็นการโจมตีประสานกันระหว่างดิจิมอนในทีมช่วยเพิ่มความหลากหลาย แถมยังต้องปั้นดิจิม่อนหลายๆแบบ เพราะศัตรูบางชนิดจะมีการแพ้ทาง หรือไม่รับดาเมจใดๆเลยถ้าใช้ไม่ตรงสาย
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
3.Ghost of Yōtei

ละเมียดละไมในทุกสัมผัส โดดเด่นอย่างที่สุดคือระบบการต่อสู้ที่ถูกขัดเกลามาจนคมกว่า Ghost Of Tsushima เพราะเราไม่ต้องมานั่งจำท่าจรดดาบ บน กลาง ล่าง เพื่อรับมือกับศัตรูในหลายๆแบบแล้ว แต่ตัวเกมเลือกใส่ระบบอาวุธแยกชิ้น ที่ทำให้จำง่าย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการออกท่าด้วย และการดวลดาบในเกมนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการสแปมปุ่มโจมตีมั่วๆ แต่เป็น “ระบำดาบแห่งความตาย” ที่ต้องอาศัยสมาธิ การอ่านจังหวะ และการตัดสินใจที่เฉียบคมในเสี้ยววินาที
โลกของเกมที่ถูกนำเสนอในโทนสีที่หม่นหมองและบรรยากาศที่ชื้นแฉะกว่าภาคแรก กลับยิ่งขับเน้นความงามอันเปลี่ยวเหงาของธรรมชาติออกมาได้อย่างน่าทึ่ง คือส่วนที่ชอบมากๆครับ
อ่านรีวิวเต็ม คลิก
2.Silent Hill f

Silent Hill f คือชื่อของเกมที่สมควรได้รับการจำกัดความว่า “Woke อย่างสร้างสรรค์” เพื่อให้คนที่เล่นได้ตื่นรู้ เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ว่าจะเพศสภาพใด แม้ว่าจะฉาบหน้าด้วยความน่าสะพรึงของงานออกแบบตัวละคร และแอคชั่นที่ดุเดือดมันส์มือก็ตาม… แต่ก็ยังไม่ทิ้งปมประเด็นที่เล่นกับจิตใจของสตรีเพศอย่างที่เคยเป็นมาตลอดในภาคหลัก
เกมเพลย์ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ด้วยการสำรวจแผนที่อันซับซ้อน (จนตาลาย) ภายใต้ม่านหมอกที่บดบังทัศนวิสัย การไขปริศนาที่คิดภาพตามว่า เราจะได้วิ่งจาก A-B-C-D-E เพื่อวนกลับไปแก้ในส่วนของ A -C-D-E-B สลับไปมา ชวนมึนมากๆ
ระบบการต่อสู้ ถูกใส่ใจมากขึ้น เน้นความดุดันและท้าทายยิ่งขึ้น ผู้เล่นจะใช้อาวุธระยะประชิดเป็นหลัก ตั้งแต่ท่อเหล็กอันเป็นสัญลักษณ์ของซีรีส์ ไปจนถึงอาวุธที่เข้ากับบรรยากาศชนบทอย่างเคียว ขวาน หรือค้อน
เป็นเกมที่เล่นแล้วถ้าคุณคิดตาม คุณจะได้อะไรกลับไปพอสมควร หรือย่างน้อยที่สุด คุณอาจจะได้ฉุกคิดถึงการ “ถนอมใจคน” ให้มากขึ้น เริ่มง่ายๆ…อย่าทำตัว “ส้นTeen แบบพ่อฮินาโกะ” ครับ 55+
อ่านต่อ คลิก
1.Clair Obscur: Expedition 33

โคตรเกมของปีนี้ ที่แอดฯตั้งใจให้ 10/10 ทันทีหลังเครดิตขึ้นในการเล่นจบเกมครับ และเฝ้ารอว่ามีเกมไหนที่จะเล่นจบแล้วตรึงสายตาเท่ามั้ย (ซึ่งก็มี Silent Hill f นี่แหละที่ทำให้ทำใจยากอยู่ เพราะเค้าก็ดีจัดๆจริงๆ)
สิ่งที่ทำให้ “อะไรซักอย่าง 33″ ถูกใจมากๆ คือเรื่องของระบบเกม Turnbase สไตล์ JRPG แท้ๆ ที่ตัวเกมได้พัฒนาเอาความน่าเบื่อของระบบ JRPG ยุคเก่า มาเร่งเร้าติดสปีดให้เร็ว รุนแรง เร้าใจ และสาดความเป็น Emotional สร้างอารมณ์ร่วมด้วยเนื้อเรื่อง และบทเพลง พร้อมงานศิลป์แบบ Belle Époque ที่ชวนตั้งคำถามอย่างมาก…
ทำให้ส่วนตัวมองว่า เกมนี้ไม่ใช่แค่ RPG แบบเทิร์นเบสธรรมดาๆแล้ว แต่มันคือประสบการณ์ที่พาผู้เล่นดำดิ่งสู่การต่อสู้กับชะตากรรม ความตาย และความงดงามของความสิ้นหวังอย่างแท้จริง โดยเฉพาะ Act 3 บทสรุปที่บีบคั้นอารมณ์ที่สุด เล่นกับความสัมพันธ์ ความจริง และทางเลือกที่ส่งผลถึงฉากจบด้วย แน่นอนว่า ทีมงานได้เล่าแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน จบในตัว สรุปได้ดีทั้งสองฉากจบ อยู่ที่ว่าคุณจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน แล้วเพลงโคตรดี!
อ่านต่อ คลิก
สุดท้ายนี้ เข้าสู่ช่วงปีใหม่ ปี 2025 ทางทีมงานเวปไซท์ https://www.metalbridges.com/ ก็ถือโอกาสนี้อวยพรให้ทุกท่านประสบพบเจอแต่เรื่องดีๆตลอดปี 2026 นะครับ
#GameOfTheYear



































