Assassin’s Creed Codename Red

ประเภท :Action / Stealth
ผู้พัฒนา : Ubisoft
เครื่อง :  -

วางจำหน่าย :  2025 

 Ubisoft ได้ประกาศในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2023 ถึง 2024 ตามแนวโน้มในอนาคต “ขอบเขตของปีงบประมาณ 2024 - 2025 (ราวๆ  31 มีนาคม 2024 - 31 มีนาคม 2025) รายชื่อเกมต่างๆ จะถูกเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม และจะรวมถึง Assassin’s Creed Codename RED และ Star Wars Outlaws สำหรับเกมใหญ่ ระดับ AAA

และ The Division Resurgence และ Rainbow Six Mobile ฝั่งเกมฟรี

ที่มา staticctf.ubisoft.com

——————–

อัสแซสซินส์ ครีด โค้ดเนม เรด

 คือเกมเรือธงเกมถัดไปต่อจากอัสแซสซินส์ ครีด มิราจและจะเป็นอนาคตของเกม RPG โอเพนเวิลด์ในแบบอัสแซสซินส์ ครีด ขณะนี้กำลังพัฒนาโดย  Ubisoft Quebec, ซึ่งเป็นสตูดิโอผู้อยู่เบื้องหลังอัสแซสซินส์ ครีด โอดิสซี (Assassin’s Creed Odyssey) โดยมีโจนาธาน ดูมอนต์ (Jonathan Dumont) เป็นครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ ผู้เล่นจะได้ออกโลดแล่นไปในฉากที่รอคอยกันมานานจากเกมอัสแซสซินส์ ครีด นั่นคือญี่ปุ่นยุคศักดินาและได้สัมผัสกับจินตนาการของนินจาทั้งหมด

ที่มาข่าว xj0nathan

 j0nathan ยูทูบเบอร์ชาวฝรั่งเศส ที่เคยออกมากล่าวถึงข่าวหลุดเกม Assassin’s Creed  Mirage แล้วออกมาตรงกับที่เขาเคยทำโพยหลุดมาแล้ว ก็ได้ออกมาเผยถึงสิ่งที่จะมีในเกม Assassin’s Creed Codename Red ว่า ตัวเกมจะเล่าถึงยุคสงครามกลางเมือง และมีตัวละครจากประวัติศาสตร์จริง เข้ามามีบทบาทด้วย

เรื่องราวของเกมจากคำบอกเล่าของ j0nathan ระบุว่า จะเป็นเรื่องราวของสองตัวละครเอก ที่มีเส้นเรื่องที่ต่างกัน เคยเป็นศัตรูกัน และเป็นมิตรต่อกันในเวลาต่อมา

ตัวละครแรก “ฟุจิบายาชิ นาโอเอะ” นินจาสาว หรือคุโนะอิจิลูกสาวของ “ฟุจิบายาชิ นางาโตะ” หนึ่งในนินจาระดับตำนานของญี่ปุ่น นาโอเอะ เดินทางตามสืบเรื่องราวเบื้องหลังความสูญเสียครั้งใหญ่ของเธอ และการเดินทางของเธอเต็มไปด้วยความแค้นส่วนตัว

ตัวละครที่สอง “ยาสุเกะ” ซามูไรคนดำที่มีตัวตนจริงของญี่ปุ่น เล่าเรื่องราวตั้งแต่เขาล่องเรือมาในฐานะทาส แต่ก็พบกับเรื่องราวต่างๆมากมาย และได้รับความช่วยเหลือจนกลายเป็นซามูไร

ในเรื่องราวการเดินทาง  j0nathan ระบุว่า ตัวเกมจะมีคนดังที่เราๆคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี ทั้ง โอดะ โนบุนากะ, มิตสึฮิเดะ อาเคจิ, ฮัตโตริ ฮันโซ,  ฮิเดโยชิ โทโยโตมิ และอื่น ๆ

เกมเพลย์ของเกมนี้ จะมี Hud UI และ การมาร์คจุดต่างๆน้อยลง มาพร้อมกับพื้นที่ขนาดเล็กกว่า Odyssey แต่มีความกว้างใหญ่มาก ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือเมคานิคการเดินทางใหม่ อย่าง ตะขอเกี่ยว ที่ทำให้ตัวละครผู้เล่นสามารถเดินทางไปบนหลังคาได้อย่างง่ายดาย 

การต่อสู้ในเกมนี้จะมีความท้าทายมากขึ้น เพราะAI ศัตรูจะมีกลยุทธ์ต่างๆในการเอาชีวิตผู้เล่น พวกมันมาพร้อมกับแถบพลังเกราะ (แบบ Sekiro) และปืนไฟ พร้อมทางเลือกผู้เล่น ที่จะสามารถไว้ชีวิตศัตรูระดับนายกองแม่ทัพได้ แลกกับการได้ทรัพยากรน้อยลง แต่จะได้ข่าวสารจากการเลี้ยงเอาไว้ใช้งานเป็นสายลับได้แทน

ส่วนการพรางตัว ในภาคนี้จะมีระบบหมอบราบไปกับพื้น พร้อมระบบ “ดับไฟ” ซึ่งเป็นระบบเดียวกับ Splinter Cell 

(ภาพแฟนเมด)

ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากทางเวปไซท์ axios ได้ออกมาเปิดเผยว่า  Assassin’s Creed ภาาคนี้ จะได้รับการดูแลโดยสตูดิโอของบริษัทในญี่ปุ่นเอง นอกจากนี้ยังจะได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางวัฒนธรรมญี่ปุ่น “เพื่อความถูกต้องทางวัฒนธรรมและประเด็นที่อ่อนไหว”

ผู้พัฒนาจาก Ubisoft Quebec ได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า จะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับที่ปรึกษาในท้องถิ่น และร่วมมือกับแผนกภาษาญี่ปุ่นของบริษัทเอง 

Ubisoft พยายามอย่างมาก ที่จะหลีกเลี่ยงการถูกวิจารณ์ในแง่ “ทำเกมมาเหมือนโปรโมทการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบลวกๆ” และปัญหาอื่นๆ เช่น การนำเสนอที่สร้างความเข้าใจผิดๆ หรือนำเสนอในมุมมองของตะวันตก จนวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกถูกตีความจนเพี้ยนไปไกล ซึ่งนี่คือปัญหาหลักของนักพัฒนาซอฟต์แวร์เกม ที่เป็นฝรั่งตะวันตกหลายๆ คนที่ทำงานเกม หรือสื่อบันเทิงที่พูดถึงคนเอเชีย และมักออกมาในความรู้สึกที่ว่า “มันไม่ใช่”

ในขณะที่เกม Assassin’s Creed ของ Ubisoft เช่น Odyssey และ Valhalla ได้รับการยกย่องจากแฟน ๆ ส่วนใหญ่ ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นใหม่อย่างมาก และคาดการณ์ว่าจะมีเนื้อหาอัดแน่นในการเล่น 1 รอบที่ราวๆ 200 ชั่วโมงจบเกม ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับโครงการเกมภาคต่อในจักรวาล Assassin’s Creed ต่อไป

ก็ต้องตามดูกันต่อไปครับ ว่าจะเป็นอย่างนั้นได้จริงๆหรือไม่ เพราะหลังๆ เกมฝรั่งที่ทำในธีมเอเชียดีๆก็เริ่มมีให้เห็นแล้ว

และนี่เพิ่งอยู่ในขั้นตอนแรกของการพัฒนาด้วย

อาจจะมีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้ ไปพร้อมๆกับปัญหาภายในทีม Ubisoft ที่นำโดย โจนาธาน ดูมอนต์ ที่มีข่าวไม่ค่อยสู้ดีนักก็ตาม…

แอดมิน Ak47