ชื่ออังกฤษ : Dunkirk
ประเภท : ภาพยนตร์
แนว : ดราม่า / แอคชั่น
ผู้กำกับ : คริสโตเฟอร์ โนแลน
แสดงนำโดย : ทอม ฮาร์ดี้ / เคนเนธ บรานาห์ / เฟียน ไวท์เฮด / มาร์ค ไรแลนซ์ / คิลเลียน เมอร์ฟี่ / แจ็ค โลว์เดน / แอนนูริน บาร์นาร์ด /เจมส์ ดาร์ซี /แบรี่ คีโอแกห์น / ทอม กลินน์-คาร์นีย์ และ แฮรี่ สไตลส์
ค่าย : Warner Bros.
ฉาย : 17 กรกฏาคม 2017
บทสัมภาษณ์นักแสดง และความในใจของโนแลน ซับไทย
นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง โดยฝีมือของผู้กำกับที่ถูกตั้งความหวังจากเหล่านักวิจารณ์ และคอหนังทั่วโลกอย่าง “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ที่หยิบเอาอีกหนึ่งอีเว้นท์ที่เกิดขึ้นในสงครามโลก “ท่ามกลางวิกฤติ ท่ามกลางการทำลายล้าง การอยู่รอดคือชัยชนะ”
ยุทธการดันเคิร์ก คืออะไร!?
ยุทธการดันเคิร์ก จัดเป็นหนึ่งในอีเว้นท์ใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ซึ่งในตอนนั้นเอง มีเหตุการณ์กองกำลังขนาดใหญ่ของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสถูกล้อมไว้โดยหมู่ยานเกราะของกองทัพนาซีเยอรมัน ซึ่งครอบครองอาณาบริเวณตลอดชายฝั่งช่องแคบที่เมืองคาเลส์ ทหารสัมพันธมิตรกว่า 330,000 นายสามารถอพยพผ่านทางทะเลมาได้ ด้วยความร่วมมือของกองเรือราชนาวีอังกฤษ เหล่าสัมพันธมิตร และเรื่องพานิชนาวีทั้งหลายในบริเวณนั้นได้ร่วมกันพาทหารของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสที่ถอยร่นจากเมืองดันเคิร์ก ขึ้นเรือกลับบ้าน
ในช่วงท้ายของอีเว้นท์นี้ ก็ได้มีการขนย้ายทหารลำเลียงผ่านเรือเล็ก และรอดออกมาได้บางส่วนเท่านั้น เพราะการโจมตีอย่างหนักของกองทัพนาซีเยอรมันถูกสั่งระงับโดย “อดอลฟ์ ฮิตเลอร์” ที่เริ่มจะเห็นใจพวกกองทัพอังกฤษ เพราะเชื่อว่าชาวเยอรมัน และอังกฤษมีความใกล้เคียง คือ เป็น “เผ่าพันธ์ชนชั้นสูง” เหมือนกัน หรือ Master Race อีกทั้งยังหวังว่าอังกฤษจะยอมรับคำขอสงบศึกและเป็นพันธมิตรกับตน แต่อังกฤษปฏิเสธมาตลอดจนจบสงคราม นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของฮิตเลอร์

อ่านเรื่องราวต่อเต็มๆได้ที่ วิกิพีเดีย / อ่านต่อ
Review 7/10 Rank C
เป็นหนังภาพสวย ขายสถาณการณ์สุดเครียด ที่ไม่เหมาะกับครอบครัว หรือ เสพเอาความบันเทิง
เป็นหนังสงครามเรื่องแรกอย่างเป็นทางการชองคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่หยิบเอาเหตุการณ์การถอยทัพที่ดันเคิร์กมาเป็นประเด็น บ่อยครั้งที่หนังสงครามจะชูเอาภาพของฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นตัวเอก หรือตัวเล่าเรื่องราว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เช่นกัน เล่าในมุมฝ่ายสัมพันธมิตรโซนยุโรปแบบ 100%
ในภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่สอง จะเน้นความดุเดือดของภาพสมรภูมิรบ ทำเอามันส์ ยิงแลกกระสุนอย่างบ้าคลั่ง ศพเกลื่อนเสียงระเบิดสนั่นกึกก้องหู แต่ไม่ใช่กับหนังของโนแลนเรื่องนี้
ภาพของดันเคิร์ก คือ “การถอยทัพ” เน้นการขายภาพของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่ “หมดทางสู้” และ “หนีตาย” รวมไปถึงความกล้าหาญของพลเรือนที่เข้าช่วยทหารเสียด้วยซ้ำ แทบจะไม่เห็นการโต้กลับ หรือการต่อสู้เลย ซึ่งส่วนตัวแอดมินคิดว่า เป็นมุมมองการนำเสนอที่แปลก และค่อนข้างต่างจากหนังสงครามในท้องตลาดครับ
งานภาพของเรื่องจะถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX 65 ม.ม. ผสมกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง 65 ม.ม. โดยมีจุดประสงค์ในการเก็บภาพ บรรยากาศต่างๆอย่างครบถ้วน แน่นอนว่างานภาพเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังภาพสวย และ เรียลสุดๆ แน่นอนว่าถ้าลองเอาภาพในเรื่องมาเซฟ Screenshot ก็จะได้ Wallpaper สวยๆได้เลย อันนี้ขอชม!
การเล่าเรื่องของดันเคิร์ก จะเล่าผ่าน 3 เหตุการณ์ใน 1 วันของการอพยพ ทั้งการช่วยเหลือจากเรือพลเรือน การสนับสนุนทางอากาศด้วยเครื่องบินเพียงสองลำ และการถอยทัพของทหารสามแสนนายที่ดันเคิร์ก แต่ทุกอย่าง “เล่าแบบไม่เรียงไทม์ไลน์” เล่าสลับไปๆมาๆ แต่สุดท้ายคนดูก็จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง
จุดเสียอย่างใหญ่หลวงของหนังเรื่องนี้คือ “อารมณ์ร่วมชะตากรรมของตัวละคร” เพราะหนังเน้นขายภาพรวมของการหนีตาย สถาณการณ์ที่ตึงเครียดของการอพยพ แอดมินไม่สามารถจำตัวละครฝ่ายทหารได้ดีเท่ากับ “นักบินอังกฤษ” ที่รับบทโดย “ทอม ฮาร์ดี้” (บทโคตรเท่ บอกเลย) และกลุ่มของตาลุงเจ้าของเรือพลเรือนที่แล่นไปช่วยทหารอังกฤษเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรให้นึกถึงเลย…ไม่ใช่ว่านักแสดงเล่นไม่ดีนะครับ เล่นดีมาก แต่ภาพรวมของหนังดึงเอาความเด่นไม่ได้เลยจริงๆ
เพลงประกอบของ ฮาน ซิมเมอร์ ที่ใส่ลงมาในหนัง ล้วนเต็มไปด้วยเพลงที่บีบคั้นอารมณ์ และใส่มาถูกจังหวะมาก แม้ว่าเราจะไม่อินกับตัวละคร แต่เพลงประกอบชวนอึดอัด (เสียงนาฬิกาที่ดังติ๊กๆๆๆๆ ในเรื่องก็ปวดประสาทดีใช้ได้เลย) หายใจไม่ทั่วท้องนี่แหละ คือจุดขายที่ดีมากๆของหนังเรื่องนี้
สรุป
ก่อนจะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้มากๆว่า “จะไปดูดันเคิร์กเพื่ออะไร?”
- ถ้าไปเสพงานภาพสวยๆ สถาณการณ์ที่สมจริง ภาพของสงครามของฝ่ายพันธมิตรที่หมดทางสู้ เชิญไปชมเรื่องนี้ได้เลย…
- แต่ถ้าไปดูหวังจะเอาภาพสงครามมันส์ๆ ยิงกันสนั่นจอ หูดับตับไหม้ ไปดูเรื่องอื่นเถอะครับ!!
แอดมิน Ak47
Trailer
-
รางวัลสุดยอดเกมแห่งปี Game Awardsเปิดโผผู้เข้าชิง The Game Awards ทุกสาขาอย่างเป็นทางการ
-
Resident Evil 9 : Requiem [Preview / สั่งซื้อแผ่นเกม / ราคา / วันวางขาย]27 กุมภาพันธ์ 2026
-
BEYBLADE X : ผู้ใหญ่ vs เด็ก Mindset ที่ดี… “ใส่เต็มที่ มีประโยชน์ในด้านพัฒนาการเด็ก”เชื่อว่าตามงานแข่ง BEYBLADE X มีหลายครั้งที่เห็น ผู้ใหญ่ลงสนาม แล้วต้องไปเจอกับคู่ต่อสู้เป็นน้องๆเด็กๆ คงมี หลายคนคงแอบมีเสียงในหัวดังขึ้นมาแบบอัตโนมัติว่า “ถ้าชนะ เดี๋ยวก็โดนว่าเก่งแต่กับเด็ก… แต่ถ้าแพ้ก็จะถูกมองว่ากระจอกซะงั้น” ซึ่งเป็น Mindset แบบเดิมที่หลายคนยังติดอยู่ และจริงๆ มันค่อนข้าง “ผิดฝั่ง” กับความจริงของสนามเบย์เบลดพอสมควร การแข่งขันเบย์เบลด แม้จะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมภายใต้กติกาเดียวกัน อุปกรณ์ใกล้เคียงกัน และโครงสร้างการแข่งขันที่บางรายการไม่มีการแบ่งแยกอายุ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดคำถามสำคัญในบริบทแบบไทยๆเราว่า “ผู้ใหญ่เนี่ย ควรแข่งขันเต็มที่กับเด็กขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?” แม้แต่ตัวแอดมินผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดนี้ในหัวครับ จนกระทั่งได้ตกตะกอนหลายๆอย่าง และนั่งพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประสบพบเจอ จนออกมาเป็นบทความที่จะพามา ปรับทัศนคติ และเพิ่มมุมมองของ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ เด็ก และผู้ปกครองในบริบทของการแข่งขัน BEYBLADE X ซึ่งทางแอดมิน อยากจะเสนอไอเดียที่ว่า “การแข่งขันแบบ ไม่ออมมือกับเด็กๆ” เป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกว่า และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กในหลายมิติครับ 1. เลิกได้เลิกนะ…ไอ้วัฒนธรรมความคิดในสังคมไทย: “ชนะเด็ก รังแกเด็ก ไม่สมเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย!” ทัศนคติที่พบได้ทั่วไปในสังคมไทย […]








































